พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/100/250 251
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
นั้นเป็นผู้มีสติ เข้าวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ไม่ยังวิญญาณนั้นนั่น
แหละให้เจริญ ให้เป็นแจ้ง ให้หายไป ย่อมเห็นว่าอะไรๆ น้อยหนึ่งย่อมไม่มี. เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อว่า อากิญจัญญายตนสมาบัติ เพราะอรรถว่า อะไรๆ น้อยหนึ่งย่อมไม่มี. ท่านจงอาศัย
คือ เข้าไปอาศัยสมาบัตินั้น ทำให้เป็นอารมณ์ ให้เป็นเครื่องหน่วงเหนี่ยว แล้วจงข้าม ข้ามขึ้น
ข้ามพ้น ก้าวล่วง เป็นไปล่วงซึ่งกามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ อวิชชาโอฆะเถิด. เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า อาศัยสมาบัติอันเป็นไปว่า อะไรๆ น้อยหนึ่งย่อมไม่มีดังนี้แล้ว ข้ามโอฆะเถิด.
[๒๕๐] โดยอุทานว่า กามา ในอุเทศว่า กาเม ปหาย วิรโต กถาหิ ดังนี้ ความ
ว่า กามมี ๒ คือ วัตถุกาม ๑ กิเลสกาม ๑. ฯลฯ เหล่านี้เรียกว่า วัตถุกาม. ฯลฯ เหล่านี้
เรียกว่า กิเลสกาม.
คำว่า ละกามทั้งหลาย ความว่า กำหนดรู้วัตถุกามทั้งหลาย ละ สละ บรรเทา ทำให้
สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีซึ่งกิเลสกามทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ละกามทั้งหลาย.
วิจิกิจฉาเรียกว่า ความสงสัย ในอุเทศว่า วิรโต กถาหิ. ความสงสัยในทุกข์ ฯลฯ
ความที่จิตครั่นคร้าม ใจสนเท่ห์ งด เว้น ขาด ออก สลัด หลุดพ้น ไม่เกี่ยวข้องด้วยความ
สงสัย ย่อมมีใจทำให้ปราศจากเขตแดนอยู่ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า เว้นจากความ
สงสัยทั้งหลาย.
อีกอย่างหนึ่ง งด เว้น เว้นขาด ออก สลัด หลุดพ้น ไม่เกี่ยวข้องด้วยดิรัจฉาน
กถา ๓๒ ประการ ย่อมมีใจทำให้ปราศจากเขตแดนอยู่ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า
เว้นจากความสงสัยทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ละกามทั้งหลายแล้ว เว้นจากความสงสัย
ทั้งหลาย.
[๒๕๑] รูปตัณหา สัทททัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา
ชื่อว่า ตัณหา ในอุเทศว่า "ตณฺหกฺขยํ รตฺตมหาภิปสฺส" ดังนี้.
กลางคืนชื่อว่า รัตตะ. กลางวันชื่อว่า อหะ. ท่านจงดู คือ พิจารณา แลดู ตรวจดู
พินิจ พิจารณา ซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา คือ ความสิ้นแห่งราคะ โทสะ โมหะ คติ อุปบัติ
ปฏิสนธิ ภพ สงสาร วัฎฎะ ทั้งกลางคืนกลางวัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า จงพิจารณาดูความ
สิ้นแห่งตัณหาตลอดกลางคืนและกลางวัน. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า