พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/103/259 260 261 262
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
โดยอุทานว่า กาเมสุ กามมี ๒ อย่าง คือ วัตถุกาม ๑ กิเลสกาม ๑. ฯลฯ เหล่านี้
เรียกว่า วัตถุกาม. ฯลฯ เหล่านี้เรียกว่า กิเลสกาม.
คำว่า ผู้ใดปราศจากความกำหนัดในกามทั้งปวง ความว่า ผู้ใดปราศจากความกำหนัด ...
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ใดปราศจากความกำหนัดในกามทั้งปวง.
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า อุปสีวะ ในอุเทศว่า "อุปสีวาติ ภควา"
ดังนี้.
คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯลฯ คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาค ตรัสตอบว่า ดูกรอุปสีวะ.
[๒๕๙] คำว่า ละสมาบัติอื่น อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ ความว่า ละเว้น น้อมใจ
ไปสู่อากิญจัญญายตนสมาบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ละสมาบัติอื่น อาศัยอากิญจัญญายตน
สมาบัติ.
[๒๖๐] คำว่า น้อมใจไปในสัญญาวิโมกข์อย่างยิ่ง ความว่า สัญญาสมาบัติ ๗ ท่าน
กล่าวว่า สัญญาวิโมกข์ ... มีสัญญาวิโมกข์นั้นเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า น้อมใจไปใน
สัญญาวิโมกข์ เป็นอย่างยิ่ง.
[๒๖๑] คำว่า ติฏฺเฐยฺย ในอุเทศว่า "ติฏฺเฐยฺย โส ตตฺถ อนานุยายี" ดังนี้ ความ
ว่า พึงตั้งอยู่หกหมื่นกัป. คำว่า ตตฺถ คือ ในอากิญจัญญายตนสมาบัติ คำว่า อนานุยายี
ความว่า ไม่หวั่นไหว ... เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหว พึงดำรงอยู่ใน
อากิญจัญญายตนสมาบัตินั้น. เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
ผู้ใดปราศจากความกำหนัดในกามทั้งปวง ละสมาบัติอื่น
อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ น้อมใจไปแล้วในสัญญา
วิโมกข์อย่างยิ่ง ผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหว พึงดำรงอยู่ใน
อากิญจัญญายตนสมาบัตินั้น.
[๒๖๒] ถ้าผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหว พึงดำรงอยู่ในสมาบัตินั้น. ข้าแต่
พระองค์ผู้มีพระสมันตจักษุ ผู้นั้นเป็นผู้พ้นแล้ว มีความเย็น
พึงมีในสมาบัตินั้นนั่นแหละแม้มากปี. วิญญาณของบุคคล
เช่นนั้นพึงมีหรือ?