พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/105/266 267 268 269

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เล่ม 30
หน้า 105
พึงมีในสมาบัตินั้นนั่นแหละแม้มากปี. วิญญาณของบุคคล เช่นนั้นพึงมีหรือ?
[๒๖๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอุปสีวะ) เปลวไฟดับไปแล้วเพราะกำลังลม ย่อมถึงความไม่มี ไม่ เข้าถึงความนับ ฉันใด มุนีพ้นแล้วจากนามกาย ย่อมถึง ความไม่มี ไม่เข้าถึงความนับ ฉันนั้น.
[๒๖๗] เปลวไฟตรัสว่า อัจจิ ในอุเทศว่า "อจฺจิ ยถา วาตเวเคน ขิตฺตํ" ดังนี้ ลมทิศตะวันออก ลมทิศตะวันตก ลมทิศเหนือ ลมทิศใต้ ลมมีธุลี ลมไม่มีธุลี ลมเย็น ลมร้อน ลมแรง ลมบ้าหมู ลมแต่ปีกนก ลมแต่ปีกครุฑ ลมแต่ใบตาล ลมแต่พัด ชื่อว่า วาตา. คำว่า ดับแล้วเพราะกำลังลม ความว่า ดับ คือ สูญหาย หายไป สิ้นไป หมดไป หมดสิ้นไปแล้วเพราะกำลังลม เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เปลวไฟดับไปแล้วเพราะกำลังลม ... ฉันใด. พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า อุปสีวะ ในอุเทศว่า "อุปสีวาติ ภควา" ดังนี้. คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยความเคารพ ฯลฯ พระนามว่า ภควา นี้ เป็น สัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอุปสีวะ.
[๒๖๘] คำว่า อตฺถํ ปเลติ ในอุเทศว่า อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ ดังนี้ ความว่า ย่อมดับไป คือ ถึงความสิ้นไป ถึงความหมดไป ดับไป สงบไป ระงับไป. คำว่า ไม่เข้าถึงความนับ ความว่า ไม่เข้าถึงความนับ คือ ไม่เข้าถึงความอ้าง ความ คาดคะเน ความบัญญัติว่า เปลวไฟนั้นไปสู่ทิศชื่อโน้นแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อมถึง ความไม่มี ไม่เข้าถึงความนับ.
[๒๖๙] คำว่า เอวํ ในอุเทศว่า "เอวํ มุนิ นามกายา วิมุตฺโต" ดังนี้ เป็นเครื่อง ยังอุปมาให้ถึงพร้อม. ญาณ ตรัสว่า โมนะ ในคำว่า มุนี. ฯลฯ มุนีนั้นล่วงแล้วซึ่งราคาทิธรรมเป็นเครื่อง ข้องและตัณหาเป็นดังว่าข่าย. คำว่า พ้นแล้วจากนามกาย ความว่า มุนีนั้นพ้นจากนามกายและรูปกายก่อนแล้วโดย ปกติ คือ มุนีนั้นละนามกายและรูปกายแล้ว ด้วยการละ คือ ความล่วงและความข่ม ด้วย