พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/106/270 271 272 273
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
องค์นั้นๆ อาศัยพระผู้มีพระภาคแล้วได้อริยมรรค ๔ เพราะเป็นผู้ได้อริยมรรค ๔ จึงกำหนดรู้
นามกายและรูปกาย เพราะเป็นผู้กำหนดรู้นามกายและรูปกาย จึงพ้น คือ พ้นวิเศษจากนามกาย
และรูปกายด้วยความพ้นวิเศษส่วนเดียว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มุนีพ้นแล้วจากนามกาย ...
ฉันนั้น.
[๒๗๐] คำว่า ย่อมถึงความไม่มี ในอุเทศว่า "อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ" ดังนี้
ความว่า มุนีนั้นย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสปรินิพพานธาตุ คือ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปา
ทิเสสปรินิพพานธาตุ.
คำว่า ย่อมไม่เข้าถึงความนับ ความว่า มุนีนั้นย่อมไม่เข้าถึงความนับ คือ ไม่เข้าถึง
ความอ้าง ความคาดคะเน ความบัญญัติว่า เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร
เป็นคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิต เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์มีรูป เป็นสัตว์ไม่มีรูป เป็นสัตว์
มีสัญญา เป็นสัตว์ไม่มีสัญญา หรือว่าเป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ มุนีนั้นไม่มี
เหตุ ไม่มีปัจจัย ไม่มีการณ์เครื่องให้ถึงการนับ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อมถึงความไม่มี ไม่
เข้าถึงความนับ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
เปลวไฟดับไปแล้วเพราะกำลังลม ย่อมถึงความไม่มี ไม่เข้า
ถึงความนับ ฉันใด. มุนีพ้นแล้วจากนามกาย ย่อมถึงความ
ไม่มี ไม่เข้าถึงความนับ ฉันนั้น.
[๒๗๑] มุนีนั้นเป็นผู้ดับไปแล้ว หรือมุนีนั้นย่อมไม่มี หรือว่ามุนีนั้น
เป็นผู้ไม่มีโรคด้วยความเป็นผู้เที่ยง. ขอพระองค์ผู้เป็นพระ
มุนี โปรดตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์ด้วยดี พระองค์
ทรงทราบธรรมนั้นแล้วแท้จริง.
[๒๗๒] คำว่า มุนีนั้นเป็นผู้ดับไปแล้ว หรือมุนีนั้นย่อมไม่มี ความว่า มุนีนั้นเป็นผู้
ดับไปแล้ว หรือว่ามุนีนั้นย่อมไม่มี คือ มุนีนั้นดับแล้ว ขาดสูญแล้ว หายไปแล้ว เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า มุนีนั้นเป็นผู้ดับไปแล้ว หรือมุนีนั้นย่อมไม่มี.
[๒๗๓] คำว่า หรือว่ามุนีนั้นเป็นผู้ไม่มีโรคด้วยความเป็นผู้เที่ยง ความว่า หรือว่ามุนี
นั้นเป็นผู้ยั่งยืน คือ เป็นผู้เที่ยง ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงตั้งอยู่เที่ยงแท้ในอากิญ -