พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/107/274 275 276 277
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
จัญญายตนภพนั้นนั่นแหละ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า หรือมุนีนั้นเป็นผู้ไม่มีโรคด้วยความเป็น
ผู้เที่ยง.
[๒๗๔] คำว่า ตํ ในอุเทศว่า ตมฺเม มุนี สาธุ วิยากโรหิ ดังนี้ ความว่า ข้าพระองค์
ย่อมทูลถาม ทูลขอ ทูลเชื้อเชิญ ทูลให้ทรงประสาทปัญหาใด.
ญาณ ท่านเรียกว่า โมนะ ในคำว่า มุนี ฯลฯ มุนีนั้นล่วงแล้วซึ่งราคาทิธรรมเป็น
เครื่องข้องและตัณหาเป็นดังว่าข่าย.
คำว่า ขอพระองค์จงตรัสบอก ... ด้วยดี ความว่า ขอพระองค์จงตรัสบอก ... ขอจง
ทรงประกาศด้วยดี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ขอพระองค์ผู้เป็นมุนี โปรดตรัสบอกปัญหานั้นแก่
ข้าพระองค์ด้วยดี.
[๒๗๕] คำว่า พระองค์ทรงทราบธรรมนั้นแล้วแท้จริง ความว่า พระองค์ทรงทราบ คือ
ทรงรู้ ทรงเทียบเคียง ทรงพิจารณา ทรงให้แจ่มแจ้ง ทรงให้ปรากฎแล้วแท้จริง เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า พระองค์ทรงทราบธรรมนั้นแล้วแท้จริง. เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
มุนีนั้นเป็นผู้ดับไปแล้ว หรือมุนีนั้นย่อมไม่มี หรือว่ามุนีนั้น
เป็นผู้ไม่มีโรคด้วยความเป็นผู้เที่ยง. ขอพระองค์ผู้เป็นพระมุนี
โปรดตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์ด้วยดี. พระองค์ทรง
ทราบธรรมนั้นแล้วแท้จริง.
[๒๗๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอุปสีวะ)
บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อมไม่มีประมาณ. ชนทั้งหลายพึงว่าบุคคล
นั้นด้วยกิเลสใด กิเลสนั้นก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น. เมื่อธรรม
ทั้งปวงอันบุคคลนั้นถอนเสียแล้ว แม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งปวง
บุคคลนั้นก็ถอนเสียแล้ว.
[๒๗๗] คำว่า บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อมไม่มีประมาณ ความว่า บุคคลผู้ดับไปแล้ว คือ
ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อมไม่มี ย่อมไม่ปรากฎ ย่อมไม่ประจักษ์ประมาณ
แห่งรูป ประมาณแห่งเวทนา ประมาณแห่งสัญญา ประมาณแห่งสังขารประมาณแห่งวิญญาณ
ประมาณแห่งรูปเป็นต้นนั้น อันบุคคลผู้ดับไปแล้ว ละได้แล้ว ตัดขาดแล้ว ให้สงบแล้ว