พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/110/281 282 283 284

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เล่ม 30
หน้า 110
นันทมาณวกปัญหานิทเทส ว่าด้วยปัญหาของท่านพระนันทะ
[๒๘๑] (ท่านพระนันทะทูลถามว่า) ชนทั้งหลายย่อมกล่าวกันว่า มุนีทั้งหลายมีอยู่ในโลกนี้. ข้อนี้ นั้นเป็นอย่างไร? ชนทั้งหลายย่อมกล่าวถึงบุคคลผู้ประกอบ ด้วยญาณว่าเป็นมุนี หรือว่าย่อมกล่าวถึงบุคคลผู้ประกอบด้วย ความเป็นอยู่ว่าเป็นมุนี?
[๒๘๒] คำว่า สนฺติ ในอุเทศว่า สนฺติ โลเก มุนโย ดังนี้ ความว่า ย่อมมี คือ ย่อมปรากฏ ย่อมประจักษ์. คำว่า ในโลก ความว่า ในอบายโลก ฯลฯ ในอายตนโลก. คำว่า มุนีทั้งหลาย ความว่า อาชีวก นิครนถ์ ชฎิล ดาบส ชื่อว่า มุนี เพราะ ฉะนั้นจึงชื่อว่า มุนีทั้งหลายมีอยู่ในโลก. คำว่า อิติ ในอุเทศว่า อิจฺจายสฺมา นนฺโท ดังนี้ เป็นบทสนธิ. คำว่า อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก. คำว่า นนฺโท เป็นชื่อ ฯลฯ เป็นคำร้องเรียกของพราหมณ์นั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ท่านพระนันทะทูลถามว่า.
[๒๘๓] คำว่า ชนทั้งหลาย ในอุเทศว่า ชนา วทนฺติ ตยิทํ กถํสุ ดังนี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร บรรพชิต เทวดา และมนุษย์. คำว่า ย่อมกล่าว ความว่า ย่อมกล่าว คือ ย่อมพูด ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ. คำว่า ตยิทํ กถํสุ เป็นคำถามด้วยความสงสัย เป็นคำถามด้วยความเคลือบแคลง เป็น คำถามสองแง่ ไม่เป็นคำถามโดยส่วนเดียวว่า เรื่องนี้เป็นอย่างนี้หนอแล หรือไม่เป็นอย่างนี้? เรื่องนี้เป็นไฉนหนอแล หรือเป็นอย่างไร? เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ชนทั้งหลายย่อมกล่าวกัน ... ข้อนี้นั้นเป็นอย่างไร?
[๒๘๔] คำว่า ชนทั้งหลายย่อมกล่าวถึงบุคคลผู้ประกอบด้วยญาณว่าเป็นมุนีหรือ ความว่า ชนทั้งหลายย่อมกล่าว คือ ย่อมพูด ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติซึ่งบุคคลผู้เข้าไป เข้า