พระสุตตันตปิฎกไทย: 16/112/268 269 270

สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
เล่ม 16
หน้า 112
๘. โกสัมพีสูตร
[๒๖๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระมุสิละ ท่านพระปวิฏฐะ ท่านพระนารทะ และท่านพระ อานนท์ อยู่ ณ โฆสิตาราม เขตเมืองโกสัมพี ฯ
[๒๖๙] ครั้งนั้น ท่านพระปวิฏฐะได้กล่าวคำนี้กะท่านพระมุสิละว่า ดูกรท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ และจากการทนต่อ ความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัวท่านว่าเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและ มรณะ ดังนี้หรือ ฯ พระมุสิละกล่าวว่า ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความ ตรึกไปตามอาการ และการทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะชาติ เป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ฯ ป. ท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตาม อาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ฯลฯ เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ...เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ... เพราะ เวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ...เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ... เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ...เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ...เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้หรือ ฯ ม. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี สังขาร ฯ
[๒๗๐] ป. ดูกรท่านมุสิละ อนึ่ง เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ มีญาณเฉพาะตัว ท่านว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ดังนี้หรือ ฯ ม. ดูกรท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึกไป ตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ