พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/112/289

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เล่ม 30
หน้า 112
อินทรีย์ ท่านผู้ฉลาดในพละ ท่านผู้ฉลาดในโพชฌงค์ ท่านผู้ฉลาดในมรรค ท่านผู้ฉลาดในผล ท่านผู้ฉลาดในนิพพาน. ท่านผู้ฉลาดเหล่านั้น ย่อมไม่กล่าว ... ผู้ประกอบด้วยความหมดจดด้วย ความเห็น ด้วยความหมดจดด้วยการฟัง ด้วยความหมดจดด้วยญาณอันสัมปยุตด้วยสมาบัติ ๘ หรือด้วยญาณอันผิด ว่าเป็นมุนี เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ดูกรนันทะ ท่านผู้ฉลาด ... กล่าว ... ว่าเป็นมุนี.
[๒๘๙] คำว่า เราย่อมกล่าวชนเหล่าใดกำจัดเสนาเสียแล้ว เป็นผู้ไม่มีความทุกข์ ไม่มี ความหวัง เที่ยวไป ชนเหล่านั้นเป็นมุนี ความว่า เสนามารตรัสว่า เสนา. กายทุจริตเป็น เสนามาร วจีทุจริตเป็นเสนามาร มโนทุจริตเป็นเสนามาร ราคะเป็นเสนามาร โทสะเป็นเสนา มาร โมหะเป็นเสนามาร ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ ความลวง ความโอ้อวด ความกระด้าง ความแข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น ท่าน ความเมา ความประมาท กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความ เร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวง เป็นเสนามาร. สมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กามท่านกล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๑ ของท่าน. ความไม่ยินดีท่าน กล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๒ ของท่าน. ความหิวและความกระหาย ท่านกล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๓ ของท่าน. ตัณหาท่านกล่าวว่าเป็น เสนาที่ ๔ ของท่าน. ถิ่นมิทธะท่านกล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๕ ของท่าน. ความขลาดท่านกล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๖ ของท่าน. วิจิฉิจฉาท่านกล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๗ ของท่าน. ความลบหลู่ ความกระด้างท่านกล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๘ ของท่าน. ลาภ ความ สรรเสริญ สักการะ ยศที่ได้มาผิด ก็เป็นเสนา. ความยก ตนและการข่มผู้อื่นก็เป็นเสนา. นี้เสนามารของท่าน (เป็น มารไม่ปล่อยท่านให้พ้นอำนาจไป) เป็นผู้ประหารท่านผู้มี ธรรมดำ. คนไม่กล้าย่อมไม่ชนะเสนานั้นได้. คนกล้าย่อม ชนะได้ ครั้นชนะแล้วย่อมได้ความสุข ดังนี้. เสนามารทั้งปวง กิเลสทั้งปวง ชนเหล่าใดชนะแล้ว ให้แพ้ ทำลาย กำจัดให้เบือนหน้า หนีแล้วด้วยอริยมรรค ๔ ในกาลใด ในกาลนั้น ชนเหล่านั้น เรากล่าวว่าผู้กำจัดเสนาเสียแล้ว.