พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/113/290

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เล่ม 30
หน้า 113
คำว่า อนิฆา ความว่า ราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ฯลฯ อกุสลา ภิสังขารทั้งปวง เป็นความทุกข์. ความทุกข์เหล่านั้น ชนเหล่าใดละขาด ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ ชนเหล่านั้น ตรัสว่า ผู้ไม่มีความทุกข์. ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ตรัสว่า ความหวัง ในคำว่า นิราสา ดังนี้. ความหวังคือ ตัณหานี้ ชนเหล่าใดละขาด ... เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ ชน เหล่านั้น ตรัสว่า ผู้ไม่มีความหวัง. คำว่า เรากล่าวว่า ชนเหล่าใดกำจัดเสนาเสียแล้ว ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง เที่ยวไป ชนเหล่านั้นเป็นมุนี ความว่า เราย่อมกล่าว ... ย่อมประกาศว่า ชนเหล่าใด คือ พระอรหันตขีณาสพ กำจัดเสนาเสียแล้ว ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง ย่อมเที่ยวไป คือ เปลี่ยนอิริยาบถ เป็นไป รักษา บำรุง เยียวยา ชนเหล่านั้นเป็นมุนีในโลก เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า เราย่อมกล่าวว่า ชนเหล่าใดกำจัดเสนาเสียแล้ว เป็นผู้ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง เที่ยวไป ชนเหล่านั้นเป็นมุนี. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูกรนันทะ ท่านผู้ฉลาดย่อมไม่กล่าวบุคคลผู้ประกอบด้วย ทิฏฐิ ด้วยสุตะ ด้วยญาณว่า เป็นมุนี. เราย่อมกล่าวว่า ชนใดกำจัดเสนาเสียแล้ว เป็นผู้ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง เที่ยวไป ชนเหล่านั้นเป็นมุนี.
[๒๙๐] (ท่านพระนันทะทูลถามว่า) สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งนี้ ย่อมกล่าวความหมดจด ด้วยการเห็นและการสดับบ้าง ด้วยศีลและวัตรบ้าง ด้วย มงคลหลายชนิดบ้าง. (ข้าแต่พระผู้มีพระภาค) ผู้นิรทุกข์ สมณพราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้สำรวมแล้ว ประพฤติอยู่ในทิฏฐิ นั้น ได้ข้ามแล้วซึ่งชาติและชราบ้างหรือ? ข้าแต่พระผู้มี พระภาค ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหานั้น. ขอพระองค์โปรด ตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์เถิด.