พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/121/317
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
[๓๑๗] คำว่า ตณฺหํ ในอุเทศว่า ตณฺหํ ปริญฺญาย อนาสวา เย เต เว นรา
โอฆติณฺณาติ พฺรูมิ ดังนี้ ได้แก่รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา
ธรรมตัณหา.
คำว่า กำหนดรู้แล้ว ความว่า กำหนดรู้แล้วซึ่งตัณหาด้วยปริญญา ๓ คือ ญาตปริญญา
ตีรณปริญญา ปหานปริญญา.
ญาตปริญญาเป็นไฉน? นรชนย่อมรู้ชัด คือ ย่อมรู้ ย่อมเห็นตัณหาว่า นี้รูปตัณหา
นี้สัททตัณหา นี้คันธตัณหา นี้รสตัณหา นี้โผฏฐัพพตัณหา นี้ธรรมตัณหา นี้ชื่อว่าญาตปริญญา.
ตีรณปริญญาเป็นไฉน? นรชนทำตัณหาที่ตนรู้อย่างนี้แล้วย่อมพิจารณาตัณหา คือ พิจารณา
โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นฝี ฯลฯ โดยความไม่ให้สลัดออก นี้ชื่อว่า
ตีรณ-ปริญญา.
ปหานปริญญาเป็นไฉน? นรชนพิจารณาอย่างนี้แล้ว ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้
ถึงความไม่มีซึ่งตัณหา. สมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ฉันทราคะในตัณหาใด ท่านทั้งหลายจงละฉันทราคะนั้นเสีย. เมื่อเป็นอย่างนี้ ตัณหานั้นจักเป็น
ของอันท่านทั้งหลายละแล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มี
ความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ดังนี้. นี้ชื่อว่าปหานปริญญา. กำหนดรู้แล้วซึ่งตัณหาด้วย
ปริญญา ๓ นี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กำหนดรู้ซึ่งตัณหา.
คำว่า เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ความว่า อาสวะ ๔ คือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ
อวิชชาสวะ. นรชนเหล่าใดละอาสวะเหล่านี้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน
ให้ถึงความไม่มี มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา นรชนเหล่านั้นตรัสว่า เป็นผู้ไม่มีอาสวะ.
คำว่า เหล่าใด คือ พระอรหันตขีณาสพทั้งหลาย.
คำว่า เราย่อมกล่าวว่า นรชนเหล่าใดกำหนดรู้ตัณหาแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ นรชน
เหล่านั้นแล ข้ามโอฆะได้แล้ว ความว่า เราย่อมกล่าวว่า ... ย่อมประกาศว่า นรชนเหล่าใด
กำหนดรู้ตัณหาแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ นรชนเหล่านั้น ข้ามแล้วซึ่งกามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิ
โอฆะ อวิชชาโอฆะ คือ ข้าม ข้ามขึ้น ข้ามออก ล่วง ก้าวล่วง เป็นไปล่วงแล้วซึ่งทาง
แห่งสังสารวัฎทั้งปวง. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เราย่อมกล่าวว่า นรชนเหล่าใดกำหนดรู้ตัณหา