พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/124/226 227 228
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
[๒๒๖] ดูกรสารีบุตร เมื่อเสพความได้อัตภาพมีรูปอย่างไร อกุศลธรรมจึงเสื่อมไป
กุศลธรรมจึงเจริญยิ่ง ดูกรสารีบุตร เพราะบุคคลที่เกิดมา ครองการได้อัตภาพอย่างไม่บกพร่อง
เป็นผู้สมประกอบเป็นเหตุ อกุศลธรรมจึงเสื่อมไป กุศลธรรมจึงเจริญยิ่ง ฯ
ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความได้อัตภาพโดยส่วน ๒ คือ ที่
ควรเสพอย่าง ๑ ที่ไม่ควรเสพอย่าง ๑ ทั้ง ๒ อย่างนั้น แต่ละอย่างเป็นความได้อัตภาพด้วยกัน
นั่น เราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
ดูกรสารีบุตร ธรรมบรรยายที่เรากล่าวโดยย่อ มิได้จำแนกเนื้อความโดยพิสดารนี้แล
เธอพึงเห็นเนื้อความโดยพิสดารอย่างนี้ ฯ
[๒๒๗] ดูกรสารีบุตร เรากล่าวรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุโดยส่วน ๒ คือที่ควรเสพอย่าง ๑
ที่ไม่ควรเสพอย่าง ๑ เรากล่าวเสียงที่รู้ได้ด้วยโสตโดยส่วน ๒คือ ที่ควรเสพอย่าง ๑ ที่ไม่ควร
เสพอย่าง ๑ เรากล่าวกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะโดยส่วน ๒ คือ ที่ควรเสพอย่าง ๑ ที่ไม่ควรเสพ
อย่าง ๑ เรากล่าวรสที่รู้ได้ด้วยชิวหาโดยส่วน ๒ คือ ที่ควรเสพอย่าง ๑ ที่ไม่ควรเสพอย่าง ๑
เรากล่าวโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกายโดยส่วน ๒ คือ ที่ควรเสพอย่าง ๑ ที่ไม่ควรเสพอย่าง ๑เรา
กล่าวธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโนโดยส่วน ๒ คือ ที่ควรเสพอย่าง ๑ ที่ไม่ ควรเสพอย่าง ๑ ฯ
[๒๒๘] พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระสารีบุตร ได้ทูลพระผู้มีพระภาค
ดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมบรรยายนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสโดยย่อ มิได้ทรงจำแนกเนื้อ
ความโดยพิสดาร ข้าพระองค์ทราบเนื้อความได้ โดยพิสดารอย่างนี้
ข้อที่พระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้ว่า ดูกรสารีบุตร เรากล่าวรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุโดย
ส่วน ๒ คือ ที่ควรเสพอย่าง ๑ ที่ไม่ควรเสพอย่าง ๑นั่น พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยอะไร
ตรัสแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเสพรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุเช่นใด อกุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง
กุศลธรรมย่อมเสื่อมไป รูปที่รู้ได้ด้วยจักษุเช่นนี้ ไม่ควรเสพ และเมื่อเสพรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ
เช่นใด อกุศลธรรมย่อมเสื่อมไป กุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง รูปที่รู้ได้ด้วยจักษุเช่นนี้ ควรเสพ
ข้อที่ พระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้ว่า ดูกรสารีบุตร เรากล่าวรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุโดยส่วน ๒ คือ ที่ควร
เสพอย่าง ๑ ที่ไม่ควรเสพอย่าง ๑ นั่น พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยเนื้อความดังนี้ ตรัสแล้ว ฯ