พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/124/323
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
คำว่า เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ความว่า อาสวะ ๔ คือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ
อวิชชาสวะ. นรชนเหล่าใดละอาสวะเหล่านี้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน
ให้ถึงความไม่มี มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา นรชนเหล่านั้นตรัสว่า เป็นผู้ไม่มีอาสวะ
คำว่า เหล่าใด คือ พระอรหันตขีณาสพทั้งหลาย.
คำว่า แม้ข้าพระองค์ก็กล่าวว่า นรชนเหล่าใดกำหนดรู้ตัณหาแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ
นรชนเหล่านั้นเป็นผู้ข้ามโอฆะแล้ว ความว่า แม้ข้าพระองค์ก็กล่าว คือ พูดว่า นรชนเหล่าใด
กำหนดรู้ตัณหาแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ นรชนเหล่านั้นเป็นผู้ข้ามแล้วซึ่งกามโอฆะ ภวโอฆะ
ทิฏฐิโอฆะ อวิชชาโอฆะ ข้ามแล้ว ข้ามขึ้นแล้ว ข้ามออกแล้ว ล่วงแล้ว ก้าวล่วงแล้ว ซึ่ง
ทางสงสารทั้งปวง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า แม้ข้าพระองค์ย่อมกล่าวว่า นรชนเหล่าใดกำหนดรู้
ตัณหาแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ นรชนเหล่านั้นเป็นผู้ข้ามโอฆะแล้ว. เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้น
จึงกล่าวว่า
ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ย่อมชอบใจพระวาจานั้น อัน
พระองค์ผู้เป็นพระมเหสีตรัสดีแล้ว ไม่มีอุปธิ. แม้ข้า
พระองค์ก็กล่าวว่า นรชนเหล่าใดละแล้วซึ่งรูปที่ได้เห็น
เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ได้ทราบ ศีลและวัตรทั้งปวง ทั้ง
ละแล้วซึ่งมงคลหลายชนิดทั้งหมด กำหนดรู้ตัณหาแล้ว
เป็นผู้ไม่มีอาสวะ นรชนเหล่านั้นเป็นผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว.
พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ฯลฯ พระนันทะนั่งประนมอัญชลีนมัสการพระผู้มีพระภาค
ประกาศว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระองค์. ข้าพระองค์
เป็นสาวก ดังนี้.
จบนันทมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๗.
----------