พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/127/332 333 334 335

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เล่ม 30
หน้า 127

[๓๓๒] พราหมณ์นั้นกล่าวกะพระผู้มีพระภาคว่า พระองค์ ในอุเทศว่า ตฺวญฺจ เม ธมฺมมกฺขาหิ ดังนี้. คำว่า ธมฺมํ ในอุเทศว่า ธมฺมมกฺขาหิ ดังนี้ ความว่า ขอพระองค์โปรดตรัส ... โปรด ทรงประกาศพรหมจรรย์อันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นิพพาน และข้อปฏิบัติอันให้ถึงนิพพาน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ขอพระองค์โปรดตรัสบอกธรรมแก่ข้าพระองค์.
[๓๓๓] รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา ชื่อว่าตัณหา ในอุเทศว่า ตณฺหานิคฺฆาตนํ มุนิ ดังนี้. คำว่า เป็นเครื่องกำจัดตัณหา ความว่า เป็นเครื่องปราบตัณหา เป็นเครื่องละตัณหา เป็นเครื่องสงบตัณหา เป็นเครื่องสละคืนตัณหา เป็นเครื่องระงับตัณหา เป็นอมตนิพพาน. ญาณ ท่านกล่าวว่า โมนะ ในคำว่า มุนิ. ฯลฯ พระผู้มีพระภาคล่วงแล้วซึ่งราคาทิธรรม เป็นเครื่องข้องและตัณหาเป็นดังว่าข่าย จึงเป็นมุนี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระมุนี ... เครื่องกำจัดตัณหา.
[๓๓๔] คำว่า ที่บุคคลรู้แล้ว เป็นผู้มีสติเที่ยวไป ความว่า บุคคลทำธรรมใดให้ทราบ แล้ว คือ เทียบเคียงแล้ว พิจารณาแล้ว ให้เจริญ ทำให้แจ่มแจ้งแล้ว คือ ทำให้ทราบแล้ว ... ทำให้แจ่มแจ้งแล้วว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯลฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา. คำว่า เป็นผู้มีสติ คือ เป็นผู้มีสติด้วยอาการ ๔ อย่าง คือ เป็นผู้มีสติ เจริญสติ ปัฏฐานเครื่องพิจารณาเห็นกายในกาย ฯลฯ ผู้นั้นท่านกล่าวว่าเป็นผู้มีสติ ... คำว่า เที่ยวไป คือ เที่ยวไป เที่ยวไปทั่ว ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถเป็นไป รักษา เยียวยา ให้เยียวยา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ที่บุคคลทราบแล้ว เป็นผู้มีสติเที่ยวไป.
[๓๓๕] ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ท่านกล่าวว่า ตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ในอุเทศว่า เตร โลเก วิสตฺติกํ. ตัณหาชื่อว่าวิสัตติกาเพราะ อรรถว่ากระไร? ฯลฯ เพราะอรรถว่าแผ่ไป ซ่านไป ฉะนั้น จึงชื่อว่า วิสตฺติกา.