พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/132/346 347 348 349 350
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
โตเทยยมาณวกปัญหานิทเทส
ว่าด้วยปัญหาของท่านพระโตเทยยะ
[๓๔๖] (ท่านพระโตเทยยะทูลถามว่า)
กามทั้งหลายย่อมไม่มีอยู่ในผู้ใด ตัณหาย่อมไม่มีแก่ผู้ใด
และผู้ใดข้ามพ้นจากความสงสัยได้แล้ว วิโมกข์ของผู้นั้น
เป็นเช่นไร.
[๓๔๗] คำว่า กามทั้งหลายย่อมไม่มีอยู่ในผู้ใด ความว่า กามทั้งหลายย่อมไม่อยู่ คือ
ไม่อยู่ร่วม ไม่มาอยู่ในผู้ใด.
คำว่า อิติ ในอุเทศว่า อิจฺจายสฺมา โตเทยฺย ดังนี้ เป็นบทสนธิ. ฯลฯ คำว่า อิติ นี้
เป็นไปตามลำดับบท.
คำว่า อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ. คำว่า อายสฺมา
นี้ เป็นเครื่องกล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพยำเกรง. คำว่า โตเทยฺย เป็นชื่อ ฯลฯ เป็นคำ
ร้องเรียกของพราหมณ์นั้น. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่านพระโตเทยยะทูลถามว่า.
[๓๔๘] คำว่า ตัณหาย่อมไม่มีแก่ผู้ใด ความว่า ตัณหาย่อมไม่มี คือ ไม่ปรากฎ ไม่
ประจักษ์ แก่ผู้ใด คือ ตัณหาอันผู้ใดละได้แล้ว สงบแล้ว ระงับแล้ว ทำไม่ให้อาจเกิดขึ้น เผา
เสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ตัณหาย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
[๓๔๙] คำว่า และผู้ใดข้ามพ้นจากความสงสัยได้แล้ว ความว่า ผู้ใดข้ามแล้ว คือ ข้าม
ขึ้นแล้ว ข้ามพ้น ล่วงแล้ว ก้าวล่วงแล้ว เป็นไปล่วงแล้วจากความสงสัย เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า และผู้ใดข้ามพ้นจากความสงสัยได้แล้ว.
[๓๕๐] คำว่า วิโมกข์ของผู้นั้นเป็นเช่นไร? ความว่า พราหมณ์นั้นย่อมทูลถามวิโมกข์
ว่า วิโมกข์ของผู้นั้นเป็นเช่นไร? คือ มีสัณฐานเช่นไร? มีประการอย่างไร? มีส่วนเปรียบ
อย่างไร? อันบุคคลนั้นพึงปรารถนา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วิโมกข์ของผู้นั้นเป็นเช่นไร?
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า