พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/134/355 356 357 358
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
คำว่า และผู้ใดข้ามพ้นจากความสงสัยได้แล้ว ความว่า ผู้ใดข้ามแล้ว คือ ข้ามขึ้น
ข้ามพ้น ล่วง ก้าวล่วง เป็นไปล่วงจากความสงสัยได้แล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า และผู้ใด
ข้ามพ้นจากความสงสัยได้แล้ว.
[๓๕๕] คำว่า วิโมกข์อย่างอื่นของผู้นั้นย่อมไม่มี ความว่า วิโมกข์ อย่างอื่นอันเป็น
เครื่องให้หลุดพ้นได้ของผู้นั้นย่อมไม่มี. ผู้นั้นควรทำกิจด้วยวิโมกข์อย่างไร? เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
วิโมกข์อย่างอื่นของผู้นั้นย่อมไม่มี. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
กามทั้งหลายย่อมไม่มีอยู่ในผู้ใด ตัณหาย่อมไม่มีแก่ผู้ใด
และผู้ใดข้ามพ้นจากความสงสัยได้แล้ว วิโมกข์อย่างอื่นของ
ผู้นั้นย่อมไม่มี.
[๓๕๖] ผู้นั้นไม่มีความหวังหรือยังมีหวังอยู่ มีปัญญาหรือมีความก่อ
(ตัณหาทิฏฐิ) ด้วยปัญญา ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์จะพึง
รู้จักมุนีได้อย่างไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้มีสมันตจักษุ ขอ
พระองค์ตรัสบอกให้แจ้งซึ่งปัญญานั้น แก่ข้าพระองค์.
[๓๕๗] คำว่า ผู้นั้นไม่มีความหวังหรือยังมีความหวังอยู่ ความว่า ผู้นั้นไม่มีตัณหา
หรือยังมีตัณหา คือ ย่อมหวัง คือ ย่อมหวัง จำนง ยินดี ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ ซึ่งรูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สกุล คณะ อาวาส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จีวร บิณฑบาต
เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ
สัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานาสัญญาภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ ปัญจโวการภพ
อดีต อนาคต ปัจจุบัน รูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบและธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้ง
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้นั้นไม่มีความหวังหรือยังมีหวังอยู่.
[๓๕๘] คำว่า ผู้มีปัญญา ในอุเทศว่า ปญญาณวา โส อุท ปญฺญกปฺปี ดังนี้
ความว่า เป็นบัณฑิต มีปัญญา มีความรู้ มีญาณ มีปัญญาแจ่มแจ้ง มีปัญญาทำลายกิเลส.
คำว่า หรือมีความก่อ (ตัณหาทิฏฐิ) ด้วยปัญญา ความว่า หรือว่าย่อมก่อตัณหาทิฏฐิ
คือ ยังตัณหาหรือทิฏฐิให้เกิด ให้เกิดพร้อม ให้บังเกิด ให้บังเกิดเฉพาะ ด้วยญาณในสมาบัติ ๘