พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/136/361 362 363 364

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เล่ม 30
หน้า 136
ผู้นั้นไม่มีความหวังหรือยังมีหวังอยู่ มีปัญญาหรือมีความก่อ (ตัณหาทิฏฐิ) ด้วยปัญญา. ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์จะพึง รู้จักมุนีได้อย่างไร? ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้มีสมันตจักษุ ขอ พระองค์โปรดตรัสบอกให้แจ้งซึ่งปัญหานั้น แก่ข้าพระองค์.
[๓๖๑] ผู้นั้นไม่มีความหวัง ไม่หวังอยู่ มีปัญญาและไม่มีความก่อ (ตัณหาทิฏฐิ) ด้วยปัญญา. ดูกรโตเทยยะ ท่านจงรู้จักมุนีผู้ไม่ มีเครื่องกังวล ผู้ไม่ข้องในกามและภพ แม้อย่างนี้.
[๓๖๒] คำว่า ผู้นั้นไม่มีความหวัง ไม่หวังอยู่ ความว่า ผู้นั้นไม่มีตัณหา ไม่เป็นไป กับด้วยตัณหา คือ ไม่หวัง ไม่จำนง ไม่ยินดี ไม่ปรารถนา ไม่รักใคร่ ไม่ชอบใจซึ่งรูป เสียง กลิ่น ฯลฯ รูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ได้ทราบ และธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้ง เพราะ ฉะนั้นจึงชื่อว่า ผู้นั้นไม่มีความหวัง ไม่หวังอยู่.
[๓๖๓] คำว่า ผู้นั้นมีปัญญา ในอุเทศว่า ปญฺญาณวา โส น จ ปญฺญกปฺปี ดังนี้ ความว่า ผู้นั้นเป็นบัณฑิต มีปัญญา มีความตรัสรู้ มีญาณ มีปัญญาแจ่มแจ้ง มีปัญญาทำลาย กิเลส. คำว่า ไม่มีความก่อ (ตัณหาทิฏฐิ) ด้วยปัญญา ความว่า ผู้นั้นย่อมไม่ก่อซึ่งตัณหา หรือทิฏฐิ คือ ไม่ยังตัณหาหรือทิฏฐิให้เกิด ให้เกิดพร้อม ให้บังเกิด ให้บังเกิดเฉพาะ ด้วย ญาณในสมาบัติ ๘ ด้วยญาณคืออภิญญา ๕ หรือด้วยญาณอันผิด. เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ผู้นั้น มีปัญญา ไม่มีความก่อ (ตัณหาทิฏฐิ) ด้วยปัญญา.
[๓๖๔] ญาณ ท่านกล่าวว่า โมนะ ในคำว่า มุนี ในอุเทศว่า เอวมฺปิ โตเทยฺย มุนึ วิชาน ดังนี้. ฯลฯ บุคคลนั้นล่วงแล้วซึ่งธรรมเป็นเครื่องข้องและตัณหาเป็นดังข่าย ย่อม เป็นมุนี. คำว่า ดูกรโตเทยยะ ท่านจงรู้จักมุนี ... แม้อย่างนี้ ความว่า ดูกรโตเทยยะ ท่านจงรู้จัก รู้แจ้ง รู้ประจักษ์ซึ่งมุนีอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ดูกรโตเทยยะ ท่านจงรู้จักมุนี ... แม้อย่างนี้.