พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/144/474 475 476
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
[๔๗๔] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใด สิ่งนั้น ไม่มีแก่เรา
ชนเหล่าใดกล่าว ชนเหล่านั้นไม่ใช่เรา ดูกรมารผู้มีบาป ท่านจงรู้ อย่างนี้ ท่านย่อมไม่เห็นแม้ทาง
ของเรา ฯ
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรง
รู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง ฯ
รัชชสูตรที่ ๑๐
[๔๗๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กระท่อมอันตั้งอยู่ในป่า ในประเทศ
หิมวันต์ แคว้นโกศล ฯ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับทรงพักผ่อนอยู่ในที่ลับได้ทรงปริวิตกว่า เราจะสามารถ
เสวยรัชสมบัติโดยธรรม โดยที่ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ใช่ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ไม่ทำผู้อื่น
ให้เสื่อมเอง ไม่ใช้ให้เขาทำผู้อื่นให้เสื่อม ไม่เศร้าโศกเอง ไม่ทำให้ผู้อื่นเศร้าโศกได้หรือไม่ ฯ
[๔๗๖] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปทราบความปริวิตกแห่งพระหฤทัยของพระผู้มีพระภาค
ด้วยจิตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึง กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงเสวยรัชสมบัติเถิด พระเจ้าข้า ขอพระสุคตจงเสวยรัชสมบัติโดย
ธรรม โดยที่ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ไม่ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเอง ไม่ใช้ให้เขา
ทำคนอื่นให้เสื่อม ไม่เศร้าโศก เอง ไม่ทำให้ผู้อื่นเศร้าโศก ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมารผู้มีบาป ท่านเห็นอะไรของเรา ทำไมจึงได้พูดกะเรา
อย่างนี้ว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงเสวยรัชสมบัติเถิด พระเจ้าข้า ขอพระสุคตจงเสวยรัชสมบัติ
โดยธรรม โดยที่ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียนไม่ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเอง ไม่ใช้ให้
เขาทำผู้อื่นให้เสื่อม ไม่เศร้าโศกเอง ไม่ทำให้ผู้อื่น เศร้าโศก ฯ
มารกราบทูลว่า พระเจ้าข้า อิทธิบาททั้ง ๔ พระองค์ทรงบำเพ็ญให้เจริญ กระทำให้มาก
กระทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นวัตถุที่ตั้ง กระทำไม่หยุด สั่งสม ปรารภด้วยดีแล้ว พระเจ้าข้า
ก็เมื่อพระองค์ทรงพระประสงค์ ทรงอธิษฐานภูเขา หลวงชื่อหิมพานต์ให้เป็นทองคำล้วน ภูเขานั้น
ก็พึงเป็นทองคำล้วน ฯ