พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/153/411 412
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
ปราศจากความยินดี คือ มีความยินดีไปปราศแล้ว มีความยินดีอันสละแล้ว สำรอกแล้ว
ปล่อยแล้ว ละแล้ว สละคืนแล้ว ในนามรูป โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ดูกรพราหมณ์ ... ผู้ปราศจากความกำหนัดในนามรูปโดยประการทั้งปวง.
[๔๑๑] อาสวะ ในคำว่า อาสวา ในอุเทศว่า อาสวสฺส น วิชฺชนฺติ ดังนี้ มี ๔
คือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ.
คำว่า อสฺส คือ พระพระอรหันตขีณาสพ.
คำว่า ย่อมไม่มี คือ อาสวะเหล่านี้ย่อมไม่มี ไม่มีอยู่ ไม่ปรากฎ ไม่ประจักษ์
แก่พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น คือ อาสวะเหล่านี้อันพระอรหันตขีณาสพนั้นละได้แล้ว ตัด
ขาดแล้ว สงบแล้ว ระงับแล้ว ทำไม่ให้อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า อาสวะทั้งหลาย ... ย่อมไม่มีแก่พระอรหันตขีณาสพนั้น.
[๔๑๒] คำว่า เป็นเหตุให้ถึงอำนาจแห่งมัจจุ ความว่า บุคคลพึงถึงอำนาจแห่งมัจจุ
พึงถึงอำนาจแห่งมรณะ หรือพึงถึงอำนาจแห่งพวกของมาร ด้วยอาสวะเหล่าใด อาสวะเหล่านั้น
ย่อมไม่มี ไม่มีอยู่ ไม่ปรากฎ ไม่ประจักษ์ แก่พระอรหันตขีณาสพนั้น คือ อาสวะเหล่านั้น
อันพระอรหันตขีณาสพนั้นละได้แล้ว ตัดขาดแล้ว สงบแล้ว ระงับแล้ว ทำไม่ให้อาจเกิดขึ้น
เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นเหตุให้ถึงอำนาจแห่งมัจจุ. เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
ดูกรพราหมณ์ อาสวะทั้งหลายอันเป็นเหตุให้ถึงอำนาจแห่ง
มัจจุ ย่อมไม่มีแก่พระอรหันตขีณาสพผู้ปราศจากความกำหนัด
ในนามรูปโดยประการทั้งปวง.
พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดา
ของข้าพระองค์. ข้าพระองค์เป็นพระสาวก ฉะนี้แล.
จบ ชตุกัณณีมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๑.
----------