พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/156/416 417

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เล่ม 30
หน้า 156

[๔๑๖] ความดำริ ในคำว่า กปฺป ในอุเทศว่า กปฺปญชหํ อภิยาเจ สุเมธํ ดังนี้ มี ๒ อย่าง คือ ความดำริด้วยอำนาจตัณหา ๑. ความดำริด้วยอำนาจทิฏฐิ ๑. ฯลฯ นี้เป็นความ ดำริด้วยอำนาจตัณหา. ฯลฯ นี้เป็นความดำริด้วยอำนาจทิฏฐิ. พระผู้มีพระภาคตรัสรู้แล้ว ทรงละความดำริด้วยอำนาจตัณหา ทรงสละคืนความดำริด้วย อำนาจทิฏฐิแล้ว. พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว ชื่อว่า ทรงละความดำริ เพราะพระองค์ทรงละความ ดำริด้วยอำนาจตัณหา เพราะพระองค์ทรงสละคืนความดำริด้วยอำนาจทิฏฐิ. คำว่า ขออาราธนา คือ ทูลอาราธนา ทูลเชื้อเชิญ ทูลยินดี ปรารถนารักใคร่ ชอบใจ (คำของพระองค์). ปัญญา ความรู้ กิริยาที่รู้ ฯลฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิ ท่าน กล่าวว่า เมธา ในคำว่า สุเมธํ. พระผู้มีพระภาคทรงเข้าไป เข้าไปพร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วยปัญญาชื่อเมธานี้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงชื่อว่ามีปัญญาดี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ขออาราธนา ... ละความดำริ มีปัญญาดี.
[๔๑๗] พระผู้มีพระภาคชื่อว่า เป็นนาค. ในคำว่า นาคสฺส ในอุเทศว่า สุตฺวาน นาคสฺส อปนมิสฺสนฺติ อิโต ดังนี้. พระผู้มีพระภาคไม่ทรงกระทำความชั่ว เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า นาค. ไม่เสด็จไปสู่ ความชั่ว เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า นาค. ไม่เสด็จมาสู่ความชั่ว เพราะฉะนั้น จึงทรง พระนามว่า นาค. ฯลฯ พระผู้มีพระภาคไม่เสด็จมาสู่ความชั่วอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงทรง พระนามว่า นาค. ข้อว่า ชนทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของพระองค์ผู้เป็นนาคแล้ว จักหลีกไปแต่ที่นี้ ความ ว่า ชนเป็นอันมาก ได้ยิน ได้ฟัง ศึกษา ทรงจำ เข้าไปกำหนดแล้ว ซึ่งพระดำรัส คือ พระดำรัสที่เป็นทางเทศนา อนุสนธิ ของพระองค์แล้ว จักหลีก จักเลี่ยงไปแต่ที่นี้ คือ จักไป สู่ทิศใหญ่และทิศน้อย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ชนทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของพระองค์ผู้เป็น นาคแล้ว จักหลีกไปแต่ที่นี้. เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า ข้าพระองค์ขออาราธนาพระองค์ ผู้ละความอาลัย ตัดตัณหา เสีย ไม่มีความหวั่นไหว ละความเพลินเสีย ข้ามโอฆะแล้ว