พระสุตตันตปิฎกไทย: 11/19/13

สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
เล่ม 11
หน้า 19
ดูกรภัคควะ ลำดับนั้น เราจึงยังบริษัทนั้นให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้ อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถา ทำให้พ้นจากเครื่องผูกใหญ่ รื้อถอน สัตว์ประมาณ ๘๔,๐๐๐ ขึ้นจาก หล่มใหญ่จึงเข้าเตโชธาตุกสิณเหาะขึ้นสู่เวหาส์สูง ประมาณ ๗ ชั่วลำตาล นิรมิตไฟอื่นให้ ลุกโพลงมีควันกลบ สูงประมาณ ๗ ชั่ว ลำตาล แล้วจึงกลับมาปรากฎที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ดูกรภัคควะ ครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ได้เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ ถวายอภิวาท แล้วนั่ง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ่ง เราจึงได้กล่าวกะเขาผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า สุนักขัตตะ เธอจะสำคัญ ความข้อนั้นเป็นไฉน วิบากนั้น ได้มีแล้ว เหมือนดังที่เราได้พยากรณ์ อเจลกชื่อปาฏิกบุตรแก่เธอ มิใช่โดยประการอื่น ฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิบากนั้น ได้มีแล้ว เหมือนดังที่พระผู้มีพระภาค ได้ทรงพยากรณ์ อเจลกชื่อปาฏิกบุตรแก่ข้าพระองค์ มิใช่โดยประการอื่น ฯ ดูกรสุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ชื่อว่าเป็นคุณอันเราได้แสดงแล้ว หรือ มิใช่ ฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นอันทรงแสดงไว้แล้วแน่นอน มิใช่ไม่ทรง แสดง ฯ ดูกรโมฆบุรุษ แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอยังจะกล่าวกะเราผู้แสดงอิทธิ ปาฏิหาริย์ที่เป็น ธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงแสดงอิทธิ ปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์แก่ข้าพระองค์ ดังนี้ เธอจงเห็นว่า ข้อนี้เป็นความผิด ของเธอเท่านั้น ดูกรภัคควะ โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะถูกเรากล่าวอย่างนี้ ได้หนีไปจาก พระธรรมวินัยนี้ เหมือนสัตว์ผู้ควรเกิดในอบาย เหมือนสัตว์ผู้ควรเกิดในนรก ฉะนั้น ฯ
[๑๓] ดูกรภัคควะ อนึ่ง เราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ทั้ง รู้ชัดยิ่งกว่านั้น และไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับ ได้เฉพาะตน ฉะนั้น ตถาคตจึง ไม่ถึงทุกข์ ฯ ดูกรภัคควะ มีสมณพราหมณ์บางพวกบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่า พระอิศวรทำให้ ว่าพระพรหมทำให้ ตามลัทธิอาจารย์ เราจึงเข้าไปถามเขาอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า ท่านทั้งหลาย บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่าพระอิศวรทำให้ ว่าพระ พรหมทำให้ ตามลัทธิอาจารย์จริงหรือ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้ แล้วยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น เราจึงถามต่อไปว่า