พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/223/580 581 582
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
[๕๘๐] พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว มีพระสมันตจักษุ ทรงบรรเทาความ
มืด ทรงถึงที่สุดโลก ล่วงภพทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะ
ทรงละทุกข์ทั้งหมดแล้ว มีพระนามจริง เป็นผู้ประเสริฐอัน
ข้าพระองค์นั่งใกล้แล้ว.
[๕๘๑] คำว่า ทรงบรรเทาความมืด ในอุเทศว่า ตโมนุโท พุทฺโธ สมนฺตจกฺขุ ดังนี้
ความว่า พระผู้มีพระภาคทรงบรรเทา ทรงกำจัด ทรงละ ทรงบรรเทาให้พินาศ ทรงทำให้สิ้นสุด
ให้ถึงความไม่มี ซึ่งความมืดคือราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ทุจริต อันทำให้บอด
ทำให้ไม่มีจักษุ ทำไม่ให้มีญาณ อันดับปัญญา เป็นฝ่ายความลำบาก ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ทรงบรรเทาความมืด.
คำว่า พุทฺโธ คือ พระผู้มีพระภาค ฯลฯ พระนามว่า พุทโธ นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ.
สัพพัญญุตญาณท่านกล่าวว่าสมันตจักษุ ในคำว่า ผู้มีพระสมันตจักษุ. ฯลฯ เพราะเหตุนั้น
พระตถาคตจึงชื่อว่า ผู้ตรัสรู้แล้ว มีพระสมันตจักษุ ทรงบรรเทาความมืด.
[๕๘๒] คำว่า โลก ในอุเทศว่า โลกนฺตคู สพฺพภวาติวตฺโต ดังนี้ คือ โลก ๑
ได้แก่โลกคือภพ. โลก ๒ คือ ภวโลกเป็นสมบัติ ๑ ภวโลกเป็นวิบัติ ๑. โลก ๓ คือ เวทนา ๓.
โลก ๔ คือ อาหาร ๔. โลก ๕ คือ อุปาทานขันธ์ ๕. โลก ๖ คือ อายตนภายใน ๖. โลก ๗
คือ วิญญาณฐิติ ๗. โลก ๘ คือ โลกธรรม ๘. โลก ๙ คือ สัตตาวาส ๙. โลก ๑๐ คือ
อุปกิเลส ๑๐. โลก ๑๑ คือ กามภพ ๑๑. โลก ๑๒ คือ อายตนะ ๑๒. โลก ๑๘ คือ ธาตุ ๑๘.
คำว่า ทรงถึงที่สุดโลก ความว่า พระผู้มีพระภาคทรงถึงที่สุด ถึงส่วนสุดแห่งโลกแล้ว
ไปสู่ที่สุดถึงที่สุดแห่งโลกแล้ว ฯลฯ ไปนิพพานถึงนิพพานแล้ว. พระผู้มีพระภาคนั้น มีธรรม
เป็นเครื่องอยู่ทรงอยู่จบแล้ว มีจรณะทรงประพฤติแล้ว ฯลฯ ไม่มีสงสารคือ ชาติ ชราและมรณะ
ไม่มีภพใหม่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทรงถึงที่สุดโลก.
คำว่า ภพ ในอุเทศว่า สพฺพภวาติวตฺโต ดังนี้ คือ ภพ ๒ ได้แก่ กรรมภพ ๑ ปุนภพ
อันมีในปฏิสนธิ ๑. กรรมภพเป็นไฉน? ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
นี้เป็นกรรมภพ.
ปุนภพอันมีในปฏิสนธิเป็นไฉน? รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีในปฏิสนธิ
นี้เป็นปุนภพอันมีในปฏิสนธิ