พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/224/583 584
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
พระผู้มีพระภาคทรงเป็นไปล่วง ทรงล่วงเลย ทรงก้าวล่วงซึ่งกรรมภพและปุนภพอันมี
ในปฏิสนธิ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทรงถึงที่สุดโลก เป็นไปล่วงภพทั้งปวง.
[๕๘๓] อาสวะ ในคำว่า ไม่มีอาสวะ ในอุเทศว่า อนาสโว สพฺพทุกฺขปฺปหีโน
ดังนี้ มี ๔ คือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาสวะเหล่านั้น พระผู้มีพระภาค
ผู้ตรัสรู้แล้วทรงละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ถึงความไม่มีใน
ภายหลัง ให้มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้วจึง
ชื่อว่า ไม่มีอาสวะ.
คำว่า ทรงละทุกข์ทั้งปวง ความว่า ทุกข์ทั้งหมด คือ ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์
มรณทุกข์ โสกทุกข์ ปริเทวทุกข์ ทุกขทุกข์ โทมนัสทุกข์ อุปายาสทุกข์ ฯลฯ ทุกข์แต่ความ
ฉิบหายแห่งทิฏฐิ อันมีมาแต่ปฏิสนธิ. พระผู้มีพระภาคนั้นทรงละได้แล้ว ตัดขาดแล้ว ระงับ
แล้ว ไม่ให้อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว
จึงชื่อว่า ละทุกข์ ทั้งปวง.
[๕๘๔] คำว่า มีพระนามจริง ในอุเทศว่า สจฺจวฺหโย พฺรหฺมุปาสิโต เม ดังนี้ ความ
ว่า มีพระนามเหมือนนามจริง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิขี
พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเวสสภู พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ พระผู้มีพระภาคพระนาม
ว่าโกนาคมน์ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า กัสสป พระผู้มีพระภาคทั้งหลายผู้ตรัสรู้แล้ว มีพระ
นามเช่นเดียวกัน มีพระนามเหมือนนามจริง. พระผู้มีพระภาคศากยมุนีมีพระนามเหมือนกัน คือ
มีพระนามเหมือนนามจริงของพระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้วเหล่านั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น พระผู้มี
พระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว จึงชื่อว่า มีพระนามจริง.
คำว่า เป็นผู้ประเสริฐ อันข้าพระองค์นั่งใกล้แล้ว ความว่า พระผู้มีพระภาคนั้นอันข้า
พระองค์นั่ง เข้านั่ง นั่งใกล้ กำหนดถาม สอบถามแล้ว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มีพระนามจริง
เป็นผู้ประเสริฐ อันข้าพระองค์นั่งใกล้แล้ว. เพราะเหตุนั้น พระปิงคิยเถระจึงกล่าวว่า
พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว มีพระสมันตจักษุ ทรงบรรเทาความมืด
ทรงถึงที่สุดโลก ล่วงภพทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะ ทรงละทุกข์
ทั้งหมดแล้ว มีพระนามจริง เป็นผู้ประเสริฐอันข้าพระองค์นั่ง
ใกล้แล้ว.