พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/279/312

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เล่ม 25
หน้า 279
บัดนี้ ข้าพระองค์จะพึงถามสมณพราหมณ์เป็นอันมากทำไมเล่า วันนี้ ข้าพระองค์ทราบชัดประโยชน์อันเป็นไปในภพหน้า พระพุทธเจ้าเสด็จ มาสู่เมืองอาฬวีเพื่อประทับอยู่ เพื่อประโยชน์แก่ข้าพระองค์หนอ วันนี้ ข้าพระองค์ทราบชัดพระทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ ที่บุคคลถวายทานแล้ว เป็นทานมีผลมาก ข้าพระองค์จักนอบน้อมพระสัมพุทธเจ้า และความที่ พระธรรมเป็นธรรมดี เที่ยวไปจากบ้านสู่บ้านจากเมืองสู่เมือง ฯ จบอาฬวกสูตรที่ ๑๐ วิชยสูตรที่ ๑๑
[๓๑๒] ถ้าว่าบุคคลเที่ยวไป ยืนอยู่ นั่ง นอน คู้เข้าหรือเหยียดออกนั่นเป็น ความเคลื่อนไหวของกาย กายประกอบแล้วด้วยกระดูกและเอ็นฉาบด้วย หนังและเนื้อ ปกปิดด้วยผิว เต็มด้วยไส้ อาหาร มีก้อนตับ มูตร หัวใจ ปอด ม้าม ไตน้ำมูก น้ำลาย เหงื่อ มันข้น เลือด ไขข้อ ดี เปลวมันอันปุถุชนผู้เป็นพาล ย่อมไม่เห็นตามความเป็นจริง อนึ่ง ของอันไม่สะอาดย่อมไหลออกจากช่องทั้งเก้าของกายนี้ทุกเมื่อ คือขี้ตา จากตา ขี้หูจากหู และน้ำมูกจากจมูก บางคราวย่อมสำรอกออกจากปาก ดีและเสลดย่อมสำรอกออก เหงื่อและหนองฝีซึมออกจากกาย อนึ่ง อวัยวะเบื้องสูงของกายนี้เป็นโพลง เต็มด้วยมันสมอง คนพาลถูก อวิชชาหุ้มห่อแล้ว ย่อมสำคัญกายนั้นโดยความเป็นของสวยงาม ก็เมื่อ ใด เขาตายขึ้นพอง มีสีเขียว ถูกทิ้งไว้ในป่า เมื่อนั้น ญาติทั้งหลาย ย่อมไม่ห่วงใย สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก หมาป่า หมู่หนอนกา แร้ง และสัตว์เหล่าอื่น ย่อมกัดกินกายนั้น ภิกษุในศาสนานี้ ได้ฟังพระ พุทธพจน์แล้ว มีความรู้ชัด เธอย่อมกำหนดรู้กายนี้ ย่อมเห็นตามความ เป็นจริงทีเดียว สรีระที่มีวิญญาณนี้เหมือนสรีระที่ตายแล้วนั่น สรีระที่ ตายแล้วนั้นเหมือนสรีระที่มีวิญญาณนี้ ภิกษุพึงคลายความพอใจในกาย