พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/374/418
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ความทะเลาะ ความวิวาท ความร่ำไร ความเศร้าโศก กับทั้งความ
ตระหนี่ ความถือตัว ความดูหมิ่นผู้อื่น และทั้งคำส่อเสียด เกิดจาก
ของที่รัก ความทะเลาะ ความวิวาทประกอบเข้าแล้วด้วยความตระหนี่
ก็เมื่อความวิวาทเกิดแล้วคำส่อเสียดย่อมเกิด ฯ
พระพุทธนิมิตตรัสถามต่อไปว่า
ความรักในโลกเล่ามีอะไรเป็นเหตุ แม้อนึ่ง ชนเหล่าใดมีกษัตริย์เป็นต้น
มีความโลภ เที่ยวไปในโลก ความโลภของชนมีกษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้น
มีอะไรเป็นเหตุ ความหวังและความสำเร็จของนรชนซึ่งมีในสัมปรายภพ
มีอะไรเป็นเหตุ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ความรักในโลกมีความพอใจเป็นเหตุ แม้อนึ่ง ชนเหล่าใดมีกษัตริย์
เป็นต้น มีความโลภเที่ยวไปในโลก ความโลภของชนมีกษัตริย์เป็นต้น
เหล่านั้น มีความพอใจเป็นเหตุ ความหวังและความสำเร็จของนรชน ซึ่ง
มีในสัมปรายภพ มีความพอใจนี้เป็นเหตุ ฯ
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
ความพอใจในโลกเล่ามีอะไรเป็นเหตุ แม้การวินิจฉัย คือตัณหาและ
ทิฐิก็ดี ความโกรธ โทษแห่งการกล่าวมุสา และความสงสัยก็ดี ที่
พระสมณะตรัสแล้ว เกิดจากอะไร ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวสุขเวทนาและทุกขเวทนาใดว่า เป็นความยินดี
และความไม่ยินดีในโลก ความพอใจย่อมเกิดเพราะอาศัยสุขเวทนา
และทุกขเวทนานั้น สัตว์ในโลก เห็นความเสื่อมไปและความเกิดขึ้น
ในรูปทั้งหลายแล้ว ย่อมกระทำการวินิจฉัย ความโกรธ โทษแห่งการ
กล่าวมุสา และความสงสัยธรรมแม้เหล่านี้ เมื่อความยินดีและความไม่
ยินดีทั้งสองอย่างนั่นแหละมีอยู่ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ บุคคลผู้มีความสงัด