พระสุตตันตปิฎกไทย: 4/46/48 49 50
วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑
ปาฏิหาริย์ดับไฟ
[๔๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลเหล่านั้นบำเรอไฟกันแล้วไม่อาจดับไฟได้. จึงได้คิด
ต้องกันว่า ข้อที่พวกเราไม่อาจดับไฟได้นั้น คงเป็นอิทธานุภาพของพระสมณะ ไม่ต้องสงสัย
เลย. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า ดูกรกัสสป พวกชฎิลจงดับไฟเถิด.
ชฎิลอุรุเวลกัสสป รับพระพุทธดำรัสว่า ข้าแต่มหาสมณะ พวกชฎิลจงดับไฟกัน.
ไฟทั้ง ๕๐๐ กอง ได้ดับคราวเดียวกันเทียว.
ครั้งนั้นแล ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพ
มากแท้ ถึงกับให้พวกชฏิลดับไฟได้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
ปาฏิหาริย์กองไฟ
[๔๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลเหล่านั้น พากันดำลงบ้าง ผุดขึ้นบ้าง ทั้งดำทั้งผุดบ้าง
ในแม่น้ำเนรัญชรา ในราตรีหนาวเหมันตฤดู ระหว่างท้ายเดือน ๓ ต้นเดือน ๔ ในสมัยน้ำค้างตก.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิรมิตกองไฟไว้ ๕๐๐ กอง สำหรับให้ชฎิลเหล่านั้นขึ้นจากน้ำแล้ว
จะได้ผิง. จึงชฎิลเหล่านั้นได้มีความดำริต้องกันว่า ข้อที่กองไฟเหล่านี้ถูกนิรมิตไว้นั้น คงต้อง
เป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะ ไม่ต้องสงสัยเลย. ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความ
ดำริว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับนิรมิตกองไฟได้มากมายถึงเพียงนั้น
แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
ปาฏิหาริย์น้ำท่วม
[๕๐] ก็โดยสมัยนั้นแล เมฆใหญ่ในสมัยที่มิใช่ฤดูกาลยังฝนให้ตกแล้ว ห้วงน้ำใหญ่
ได้ไหลนองไป. ประเทศที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่นั้นถูกน้ำท่วม. ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค
ได้ทรงพระดำริว่า ไฉนหนอ เราพึงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบ แล้วจงกรมอยู่บนภาคพื้น
อันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง. ครั้นแล้วจึงทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบแล้วเสด็จจงกรมอยู่
บนภาคพื้น อันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง. ต่อมา ชฎิลอุรุเวลกัสสปกล่าวว่า พระมหาสมณะอย่าได้
ถูกน้ำพัดไปเสียเลย ดังนี้ แล้วพร้อมด้วยชฎิลมากด้วยกัน ได้เอาเรือไปสู่ประเทศที่พระผู้มี
พระภาคประทับอยู่. ได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้ทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบแล้ว เสด็จ
จงกรมอยู่บนภาคพื้นอันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่มหาสมณะ
ท่านยังอยู่ที่นี่ดอกหรือ? พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่าถูกละ กัสสป เรายังอยู่ที่นี่ ดังนี้แล้ว