พระสุตตันตปิฎกไทย: 13/483/704 705
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
๘. วาเสฏฐสูตร
ทรงโปรดวาเสฏฐมาณพ
[๗๐๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคละใกล้บ้านอิจฉานังคลคาม.
ก็สมัยนั้น พราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียงเป็นอันมาก คือ จังกีพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์
โปกขรสาติพราหมณ์ ชาณุโสณีพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ และพราหมณ์มหาศาลเหล่าอื่นที่มี
ชื่อเสียง อาศัยอยู่ในอิจฉานังคลคาม. ครั้งนั้นวาเสฏฐมาณพและภารทวาชมาณพ เที่ยวเดินเล่น
เป็นการพักผ่อนอยู่ มีถ้อยคำพูดกันในระหว่างนี้เกิดขึ้นว่า ท่านผู้เจริญ อย่างไรบุคคลจึงจะชื่อว่า
เป็นพราหมณ์? ภารทวาชมาณพกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ บุคคลเป็นผู้เกิดดีทั้งสองฝ่าย คือ
ทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิอันบริสุทธิ์ตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใคร
คัดค้านติเตียนด้วยอ้างถึงชาติได้ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล บุคคลจึงจะชื่อว่าเป็นพราหมณ์.
วาเสฏฐมาณพกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ บุคคลเป็นผู้มีศีล และถึงพร้อมด้วยวัตร ด้วยเหตุ
เพียงเท่านี้แล บุคคลจึงจะชื่อว่าเป็นพราหมณ์ ภารทวาชมาณพไม่อาจให้วาเสฏฐมาณพยินยอมได้
ถึงวาเสฏฐมาณพก็ไม่อาจให้ภารทวาชมาณพยินยอมได้เหมือนกัน.
[๗๐๕] ครั้งนั้นแล วาเสฏฐมาณพได้ปรึกษากะภารทวาชมาณพว่า ท่านภารทวาชะ
พระสมณโคดมศากยบุตรนี้ เสด็จออกผนวชจากศากยสกุล ประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคละ
ใกล้อิจฉานังคลคาม ก็กิตติศัพท์อันงามของท่านพระสมณโคดมนั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้
เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วย
วิชชาและจรณะเสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งขึ้นไปกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมมาเถิด เราจัก
เข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม แล้วจักทูลถามเนื้อความนี้ พระสมณโคดมจักทรงพยากรณ์แก่เรา
อย่างไร เราจักทรงจำเนื้อความนั้นไว้อย่างนั้น. ภารทวาชมาณพรับคำวาเสฏฐมาณพแล้ว. ลำดับ