พระสุตตันตปิฎกไทย: 32/68/23

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
เล่ม 32
หน้า 68
แล้ว ย่อมไม่ได้ความสุขสำราญ มันเป็นสัตว์มีทุกข์เศร้าใจ ซบเซา หวั่น ไหวอยู่ ฉันใด ชฎิลทั้งหลายจักนำ (ขับ) แม้ท่านผู้มีปัญญาทรามออก ท่านถูกชฎิลเหล่านั้นขับไล่แล้ว จักไม่ได้ความสุขสำราญ ฉันนั้น ท่าน เพรียบพร้อมแล้วด้วยลูกศร คือ ความโศก ทั้งกลางวันและกลางคืน จัก ถูกความเร่าร้อนแผดเผา เหมือนช้างถูกขับจากโขลง ฉะนั้น หม้อน้ำทอง ย่อมไม่ไปในที่ไหนๆ ฉันใด ท่านมีศีลอันเสื่อมแล้ว ก็ฉันนั้น จักไม่ไป ในที่ไหนๆ แม้ท่านอยู่ครองเรือน ก็จักเป็นอยู่อย่างไร ทรัพย์อันเป็น ของมารดา และแม้ของบิดาที่ฝังไว้ของท่านไม่มี ท่านจักต้องทำการงาน ของตน จะต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ จักเป็นอยู่ในเรือนอย่างนี้ กรรมที่ดีนั้น ท่านไม่ชอบ เราห้ามใจอันหมักหมมด้วยสังกิเลสอย่างนี้ ในที่นั้น เราได้ ธรรมกถาต่างๆ ห้ามจิตจากบาปธรรม เมื่อเรามีปกติอยู่ด้วยความไม่ ประมาทอย่างนี้ เวลา ๓ หมื่นปีล่วงเราไป (ผู้อยู่) ในป่าใหญ่ พระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าปทุมุตระ ทรงเห็นเราผู้ไม่ประมาท ผู้แสวงหาประโยชน์อันอุดม จึงเสด็จมายังสำนักของเรา พระพุทธเจ้ามีพระรัศมีดังสีทองชมพูนุท ประมาณมิได้ ไม่มีใครเปรียบ ไม่มีใครเสมอด้วยพระรูป เสด็จจงกรม อยู่ในอากาศในเวลานั้น พระพุทธเจ้าไม่มีใครเสมอด้วยพระญาณ เสด็จ จงกรมอยู่ในอากาศในกาลนั้น ดังพระยารังมีดอกบานสะพรั่ง เหมือนสายฟ้า ในระหว่างกลีบเมฆ พระองค์เสด็จจงกรมอยู่ในอากาศในเวลานั้น ดังราชสีห์ ผู้ไม่กลัว ดุจพญาช้างร่าเริง เหมือนพญาเสือโคร่งผู้ไม่ครั่นคร้าน พระ พุทธเจ้ามีพระรัศมีดังแท่งทองสิงคี เปรียบด้วยถ่านเพลิงไม้ตะเคียน มีพระ รัศมีโชติช่วงดังดวงแก้วมณีเสด็จจงกรมอยู่ในอากาศในกาลนั้น พระพุทธ เจ้ามีพระรัศมีเปรียบดังเขา (แก้วใส) ไกรลาสอันบริสุทธิ์ เสด็จจงกรม อยู่ในอากาศในเวลานั้น ดังพระจันทร์ในวันเพ็ญ ดุจพระอาทิตย์เวลาเที่ยง เวลานั้น เราได้เห็นพระองค์เสด็จจงกรมอยู่ในอากาศ จึงคิดอย่างนี้ว่า สัตว์ผู้นั้นเป็นเทวดาหรือว่าเป็นมนุษย์ นระเช่นนี้ เราไม่เคยได้ฟังหรือเห็น ในแผ่นดิน บทมนต์จะมีอยู่บ้างกระมัง ผู้นี้จักเป็นพระศาสดา ครั้นเราคิด อย่างนี้แล้ว ได้ยังจิตของตนให้เลื่อมใส เรารวบรวมดอกไม้และของหอม