พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/83/313 314 315 316
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
นานาติตถิยสูตรที่ ๑๐
[๓๑๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่ให้ เหยื่อแก่กระแต
เขตพระนครราชคฤห์ ณ กาลครั้งหนึ่ง เมื่อปฐมยามล่วงแล้ว พวกเทพบุตรผู้เป็นสาวกเดียรถีย์
ต่างๆ เป็นอันมาก คือ อสมเทพบุตร สหลี เทพบุตร นิกเทพบุตร กาโกฏกเทพบุตร
เวฏัมพรีเทพบุตร มาณวคามิยเทพบุตร มีวรรณงามยิ่ง ยังพระวิหารเวฬุวันทั้งสิ้นให้
สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผูมีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วยืน
อยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๓๑๔] อสมเทพบุตร ครั้นยืนอยู่ ณ ส่วนที่ควรข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าว คาถานี้ใน
สำนักพระผู้มีพระภาค ปรารภถึงท่านปูรณะกัสสปว่า
ครูปูรณะกัสสป เพียงแต่มองไม่เห็นบาปหรือบุญของตน ในเพราะเหตุที่
สัตว์ถูกฟัน ถูกฆ่า ถูกโบย ถูกข่มเหง ในโลกนี้เท่านั้น ท่านบอกให้
วางใจเสีย ท่านย่อมควรที่จะยกย่องว่าเป็นศาสดา ฯ
[๓๑๕] สหลีเทพบุตร ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาค ปรารภ ถึงท่าน
มักขลิโคศาล ต่อไปว่า
ครูมักขลิโคศาล สำรวมตนดีแล้ว เพราะรังเกียจบาปด้วยตบะ ละวาจา
ที่ก่อให้เกิดความทะเลาะกับคนเสีย เป็นผู้สม่ำเสมองดเว้นจากสิ่ง
ที่มีโทษ พูดจริง ท่านมักขลิโคศาล จัดว่าเป็นผู้คงที่ ไม่กระทำบาป
โดยแท้ ฯ
[๓๑๖] นิกเทพบุตร ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาค ปรารภถึงท่านนิครนถ์
นาฏบุตรต่อไปว่า
ครูนิครนถ์ นาฏบุตร เป็นผู้เกลียดบาป มีปัญญารักษาตัวรอดเห็นภัย
ในสงสาร เป็นผู้ระมัดระวังทั้ง ๔ ยาม เปิดเผยสิ่งที่ตนเห็นแล้วและ
ฟังแล้ว น่าจะไม่ใช่ผู้หยาบช้าโดยแท้ ฯ