พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/84/208 209 210 211 212

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เล่ม 30
หน้า 84

[๒๐๘] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรโธตกะ) ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเป็นผู้มีปัญญา มีสติ ทำความเพียรใน ทิฏฐินี้นี่แหละ. บุคคลได้ฟังคำแต่ปากเรานี้แล้ว พึงศึกษา นิพพานเพื่อตน.
[๒๐๙] คำว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจง ... ทำความเพียร ความว่า ท่านจงทำความเพียร ทำความหมั่น ทำความเป็นผู้มีความหมั่น ทำความพยายาม ทำความทรงจำ ทำความเป็นผู้กล้า ยังฉันทะให้เกิด ให้เกิดพร้อม ให้เข้าไปตั้งไว้ ให้บังเกิด ให้บังเกิดเฉพาะ เพราะฉะนั้น จึง ชื่อว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจง ... ทำความเพียร. พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า โธตกะ ในอุเทศว่า โธตกาติ ภควา. คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯลฯ คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรโธตกะ.
[๒๑๐] คำว่า อิธ ในอุเทศว่า "อิเธว นิปฺปโก สโต" ดังนี้ คือ ทิฏฐินี้ ในความ ควรนี้ ในความชอบใจนี้ ในความถือนี้ ในธรรมนี้ ในวินัยนี้ ในธรรมวินัยนี้ ในปาพจน์นี้ ในพรหมจรรย์นี้ ในสัตถุศาสน์นี้ ในอัตภาพนี้ ในมนุษยโลกนี้. คำว่า นิปโก ความว่า เป็นผู้มีปัญญา คือ เป็นบัณฑิต มีความรู้ มีความตรัสรู้ มีญาณ มีปัญญาแจ่มแจ้ง มีปัญญาทำลายกิเลส. คำว่า สโต ความว่า มีสติด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ มีสติเจริญสติปัฏฐานเครื่องพิจารณา เห็นกายในกาย ฯลฯ ผู้นั้นตรัสว่ามีสติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้มีปัญญา มีสติ ... ใน ทิฏฐินี้นี่แหละ.
[๒๑๑] คำว่า ได้ฟังคำแต่ปากเรานี้แล้ว ความว่า ได้ยิน คือ ได้ฟัง ศึกษา เข้าไป ทรงจำ เข้าไปกำหนดแล้วซึ่งถ้อยคำ คำเป็นทาง เทศนา อนุสนธิของเรา แต่ปากเรานี้ เพราะ ฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลได้ฟังคำแต่ปากเรานี้แล้ว.
[๒๑๒] สิกขา ในคำว่า สิกฺเข ในอุเทศว่า "สิกฺเข นิพฺพานมตฺตโน" ดังนี้ มี ๓ คือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ฯลฯ นี้ ชื่อว่า อธิปัญญาสิกขา. คำว่า นิพฺพานมตฺตโน ความว่า พึงศึกษาแม้อธิศีล แม้อธิจิต แม้อธิปัญญา ... สมาทาน ปฏิบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงศึกษานิพพานเพื่อตน. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า