พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/86/216
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
ให้ถึงความไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว
จึงชื่อว่าไม่มีเครื่องกังวล.
คำว่า พฺราหฺมณํ ความว่า พระผู้มีพระภาคชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เพราะทรงลอยธรรม
๗ ประการแล้ว คือ ทรงลอยสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ราคะ โทสะ โมหะ
มานะ และทรงลอยธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลอันลามก อันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่
มีความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชราและมรณะต่อไป.
(พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสภิยะ)
พระผู้มีพระภาคลอยเสียแล้วซึ่งธรรมอันลามกทั้งปวง ปราศจาก
มลทิน มีจิตตั้งมั่นดี มีจิตคงที่ ล่วงแล้วซึ่งสงสาร เป็นผู้บริบูรณ์.
พระผู้มีพระภาคนั้น ตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว เป็นผู้คงที่
บัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้ประเสริฐ.
คำว่า อริยมานํ ความว่า เที่ยวไป เที่ยวไปทั่ว ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ รักษา เป็นไป
เยียวยา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่มีเครื่องกังวล เป็นพราหมณ์เที่ยวไป.
[๒๑๖] โธตกพราหมณ์กล่าวกะพระผู้มีพระภาคว่า ตํ ในอุเทศว่า "ตนฺตํ นมสฺสามิ
สมนฺตจกฺขุ" ดังนี้.
คำว่า นมสฺสามิ ความว่า ข้าพระองค์ขอนมัสการด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยจิต ขอ
นมัสการด้วยข้อปฏิบัติอันเป็นไปตามประโยชน์ หรือขอนมัสการ สักการะ เคารพ นับถือ
บูชา ด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.
พระสัพพัญญุตญาณ เรียกว่าสมันตจักษุ ในบทว่า สมนฺตจกฺขุ. พระผู้มีพระภาคทรง
เข้าไป เข้าไปพร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วยพระสัพพัญญุต
ญาณนั้น.
พระตถาคตพระองค์นั้น ไม่ทรงเห็นอะไรๆ น้อยหนึ่งในโลกนี้
อนึ่ง ไม่ทรงรู้อะไรๆ ที่ไม่ทรงรู้แล้ว ไม่มีเลย. พระตถาคต
ทรงรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง ธรรมชาติใดที่ควรแนะนำมีอยู่ พระ
ตถาคตทรงรู้ยิ่งซึ่งธรรมชาตินั้นแล้ว เพราะฉะนั้น พระตถาคต
จึงชื่อว่า มีพระสมันตจักษุ.