พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/88/218 219
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
ข้าพระองค์ขอนมัสการพระองค์นั้น. ข้าแต่พระสักกะ ขอ
พระองค์จงปลดเปลื้องข้าพระองค์ จากความสงสัยทั้งหลาย.
[๒๑๘] ดูกรโธตกะ เราไม่อาจปลดเปลื้องใครๆ ที่มีความสงสัยในโลกได้
ก็แต่ท่านเมื่อมารู้ธรรมอันประเสริฐ พึงข้ามโอฆะนี้ได้ด้วยความรู้
อย่างนี้
[๒๑๙] คำว่า เราไม่อาจปลดเปลื้อง ความว่า เราไม่อาจ ปลด เปลื้อง แก้ ปล่อย
ถอนขึ้น ฉุดชักท่านให้ออกจากลูกศร คือความสงสัยได้ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า เรา
ไม่อาจปลดเปลื้อง.
อีกอย่างหนึ่ง เราไม่อาจ ไม่สามารถ ไม่อุตสาหะ ไม่พยายาม ไม่กระทำความหมั่น
ไม่กระทำความเป็นผู้มีความหมั่น ไม่กระทำเรี่ยวแรง ไม่ทำความทรงจำ ไม่ทำความเพียร ไม่ยัง
ฉันทะให้เกิด ให้เกิดพร้อม ให้บังเกิด ให้บังเกิดเฉพาะ เพื่อจะแสดงธรรมกะบุคคลผู้ไม่มี
ศรัทธา ไม่มีฉันทะ ผู้เกียจคร้าน มีความเพียรเลว ไม่ปฏิบัติตาม แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้
จึงชื่อว่า เราไม่อาจปลดเปลื้อง.
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าบุคคลเหล่านั้นพึงปลดเปลื้องได้ ก็ไม่ต้องมีใครๆ อื่นช่วยปลดเปลื้อง.
บุคคลทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทาอันชอบ ปฏิปทาสมควร ปฏิปทาอันเป็นไปตามประโยชน์
ปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรม ด้วยเรี่ยวแรง กำลัง ความเพียร ความบากบั่น ของตน ด้วย
เรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยกำลังของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษ อัน
เป็นส่วนของตนเอง พึงปลดเปลื้องได้ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า เราไม่อาจปลดเปลื้อง.
สมจริงตามพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ดูกรจุนทะ บุคคลนั้นหนอเป็นผู้
ติดหล่มอยู่ด้วยตน จักถอนขึ้นซึ่งบุคคลอื่นผู้ติดหล่มได้ ข้อนี้ ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้. ดูกรจุนทะ
บุคคลนั้นหนอ ไม่ได้ฝึก ไม่ได้ถูกแนะนำ ไม่ดับรอบแล้วด้วยตนเอง จักฝึกจักแนะนำให้
บุคคลอื่นให้ดับรอบได้ ข้อนี้ ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้. แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า เราไม่
อาจปลดเปลื้องได้.
สมจริงตามพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า
กรรมชั่วอันบุคคลทำด้วยตนเองแล้ว จักเศร้าหมองด้วยตนเอง.
กรรมชั่วอันบุคคลไม่ทำด้วยตนเองแล้ว ย่อมบริสุทธิ์ด้วยตนเอง.