พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/89/220 221 222

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เล่ม 30
หน้า 89
ความบริสุทธิ์ ความไม่สุทธิ์ เฉพาะตน. ผู้อื่นจะช่วย ชำระผู้อื่นให้บริสุทธิ์หาได้ไม่. แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า เราไม่อาจปลดเปลื้อง. สมจริงตามพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ดูกรพราหมณ์ นิพพานก็ตั้งอยู่อย่างนั้น แหละ. หนทางนิพพานก็ตั้งอยู่. เราผู้แนะนำก็ตั้งอยู่. ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ สาวกทั้งหลายของเรา เราก็ตักเตือนอย่างนี้ พร่ำสอนอย่างนี้. บางพวกบรรลุนิพพานอันมีความสำเร็จส่วนเดียว. บาง พวกก็ไม่บรรลุ. ดูกรพราหมณ์ ในเรื่องนี้ เราจะทำอย่างไรได้. ดูกรพราหมณ์ ตถาคตเป็นแต่ ผู้บอกทาง. ใครถามทางแล้วก็บอกให้. บุคคลทั้งหลายปฏิบัติอยู่ด้วยตน พึงพ้นได้เอง. แม้ ด้วยเหตุอย่างนี้จึงชื่อว่า เราไม่อาจปลดเปลื้อง.
[๒๒๐] คำว่า ดูกรโธตกะ ... ใครๆ ผู้มีความสงสัยในโลก ความว่า ซึ่งบุคคลผู้มี ความสงสัย มีความเคลือบแคลง มีความระแวง มีความเห็นเป็นสองทาง มีวิจิกิจฉา. คำว่า กญฺจิ ความว่า ใครๆ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ สูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดา หรือมนุษย์. คำว่า โลเก ความว่า ในอบายโลก ฯลฯ ในอายตนโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ดูกรโธตกะ ... ใครๆ ผู้มีความสงสัยในโลก.
[๒๒๑] คำว่า ก็แต่ ... เมื่อมารู้ธรรมอันประเสริฐ ความว่า อมตนิพพาน ความระงับ สังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอกกิเลส ความดับ ความ ออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ตรัสว่าเป็นธรรมอันประเสริฐ. คำว่า เสฏฺฐํ ความว่า อันเลิศ คือ ประเสริฐ วิเศษ เป็นประธานอุดม. คำว่า อาชานมาโน ความว่า รู้ทั่ว คือ รู้แจ้ง รู้แจ้งเฉพาะ แทงตลอด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ก็แต่ ... รู้ทั่วธรรมอันประเสริฐ.
[๒๒๒] คำว่า ท่านพึงข้ามโอฆะนี้ด้วยความมารู้อย่างนี้ ความว่า ท่านพึงข้าม คือ พึง ก้าวล่วง พึงเป็นไปล่วง ซึ่งโอฆะคือกาม โอฆะคือภพ โอฆะคือทิฏฐิ โอฆะคืออวิชชา ด้วยความมารู้อย่างนี้. เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ท่านพึงข้ามโอฆะนี้ด้วยความมารู้อย่างนี้. เพราะเหตุ นั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า.