พุทธธัมมเจดีย์อริยสัจจากพระโอษฐ์

พิมพ์คำค้นหาแล้วกดส่ง

อริยสัจจากพระโอษฐ์ > ภาค ๔ > นิทเทศ 20 ว่าด้วย สัมมาสติ > ง. อานิสงส์ตามที่เคยปรากฏแก่พระองค์เอง
«
»

หน้า:

ง. อานิสงส์ตามที่เคยปรากฏแก่พระองค์เอง

ปรับขนาด: 16px

-ง. อานิสงส์ตามที่เคยปรากฏแก่พระองค์เอง

(เมื่อได้ตรัสการกระทำอานาปานสติตามลำดับ ดังที่ กล่าวไว้ที่หน้า ๑๑๘๑ - ๔ แห่งหนังสือนี้ หัวข้อว่า “แบบการเจริญอานาปานสติที่มีผลมาก” ดังนี้แล้ว ได้ตรัสอานิสงส์แห่งอานาปานสตินี้ว่า : - )

ภิกษุ ท. ! แม้เราเอง เมื่อยังไม่ตรัสรู้ ก่อนการตรัสรู้ยังเป็น โพธิสัตว์อยู่ ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นอันมาก. ภิกษุ ท. ! เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นอันมาก กายก็ไม่ลำบาก ตาก็ไม่ลำบาก และจิตของเราก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน.

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “กายของ เราไม่พึงลำบาก ตาของเราไม่พึงลำบาก และจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า การปฏิบัติอานาปานสติไม่ทำร่างกายให้ลำบากเหมือนกัมมัฎฐานอื่นบางอย่าง เช่นไม่มีความรบกวนทางตา ไม่ต้องใช้สายตาเหมือนการเพ่งกสิณ เป็นต้น; แล้วยังสามารถทำจิตให้หลุดพ้นได้ด้วย).

จ. ละความดำริอันอาศัยเรือน

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “ความระลึกและดำริอันอาศัยเรือนเหล่าใดของเรามีอยู่ ความระลึกและความดำริเหล่านั้น

พึงสิ้นไป” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า อานาปานสติป้องกันการดำริที่น้อมไปในทางกาม มีแต่ที่จะให้น้อมไปในทางเนกขัมมะ).

ฉ. สามารถควบคุมความรู้สึกเกี่ยวกับความปฏิกูล

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เราพึงเป็น ผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลในสิ่งที่ไม่เป็นปฏิกูลอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า การเจริญอานาปานสติช่วยให้เราเห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงของสิ่งที่รู้สึกว่าเป็นของไม่ปฏิกูลนั้นแท้จริงก็เป็นปฏิกูล เช่น มองอาหารที่มีกลิ่นและสีน่ารับประทานว่า ในที่สุดก็บูดเน่าไปในที่สุดเป็นธรรมดา เป็นต้น).

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เราพึง เป็นผู้มีสัญญาว่า ไม่ปฏิกูลในสิ่งที่ปฏิกูลอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติ สมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า อานาปานสติ ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องว่าการปฏิกูลนั้นที่ไม่ใช่ปฏิกูลเพราะกลิ่นและสีที่น่าเกลียด หากแต่ว่าเป็นปฏิกูลตรงที่เป็นมายา และทำให้เกิดทุกข์ ฉะนั้นสิ่งที่มีสีและกลิ่นอันน่าเกลียด ถ้ามิได้เป็นเหตุให้เกิดกิเลสหรือเกิดทุกข์แล้ว ก็หาใช่สิ่งที่ปฏิกูลไม่).

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เราพึงเป็นผู้ มีสัญญาว่า ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูล และทั้งในสิ่งที่ปฏิกูลอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินี้แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า สติและญาณ ในอานาปานสติสามารถทำให้เห็นความน่าขยะแขยง เพราะทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน ว่ามีอยู่ทั้งในสิ่งที่ตามธรรมดาถือกันว่าปฏิกูลและไม่ปฏิกูลหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า ไม่ควรถือเป็นตัวเป็นตนหรือของตน ทั้งในสิ่งที่ปฏิกูลและในสิ่งที่ไม่ปฏิกูล).

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เราพึง เป็นผู้มีสัญญาว่า ไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ปฏิกูลและในสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินี้แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า สติและญาณในอานาปานสติขั้นสูง ที่สามารถทำให้เห็นสุญญตาย่อมสามารถทำให้วางเฉยได้ทั้งในสิ่งที่ปฏิกูล และสิ่งที่ไม่ปฏิกูลอยู่โดยเสมอกัน).

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เราพึง เป็นผู้เว้นขาดจากความรู้สึกว่าปฏิกูล และความรู้สึกว่าไม่เป็นปฏิกูลทั้ง ๒ อย่างเสียโดยเด็ดขาดแล้ว เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินี้แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า ในขั้นที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และอยู่ด้วยอุเบกขาจริงๆนั้น ย่อมไม่มีความรู้สึกว่าปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้ง ๒ อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นผลของอานาปานสติขั้นสูง กล่าวคือจตุกกะที่ ๔ ที่ทำให้เห็นความว่างจากตัวตน หรือว่างจากความหมายอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ โดยประการทั้งปวงจริงๆแล้ว).

ช. เป็นเหตุให้ได้รูปฌานทั้งสี่

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เราพึง เป็นผู้สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึง ปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวกแล้ว แลอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสตินั่นแหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า อานาปานสติ สามารถอำนวยให้เกิดปฐมฌานได้สมตามความปรารถนา).

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เพราะวิตกวิจารระงับไป เราพึงเข้าถึง ทุติยฌาน อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งจิตในภายในเพราะธรรมอันเอก คือสมาธิผุดมีขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสตินั่นแหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า อานาปานสติ สามารถอำนวยให้เกิดทุติยฌานได้ ตามความปรารถนา).

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุ ปรารถว่า “เพราะความ จางคลายไปแห่งปีติ เราพึงเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะเสวยสุขด้วยนามกาย ชนิดที่พระอริยเจ้ากล่าวว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ มีการอยู่เป็นสุข, เข้าถึง ตติยฌาน แล้วแลอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า อานาปานสติ สามารถอำนวยให้เกิดตติยฌานได้ ตามความปรารถนา).

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน เราพึงเข้าถึง จตุถฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความบริสุทธิ์แห่งสติเพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า อานาปานสติ สามารถอำนวยให้เกิดจตุตถฌานได้ตาม ความปรารถนา).

ญ. เป็นเหตุให้ได้อรูปสมาบัติทั้งสี่

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาเสียโดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญาทั้งหลาย เพราะการไม่กระทำในใจ ซึ่งนานัตตสัญญามีประการต่างๆ เราพึงเข้าถึง อากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่าอากาศไม่มีที่สุด ดังนี้ แล้วแลอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า อานาปานสติสมาธิ สามารถอำนวยให้เกิดอากาสานัญจายตนะได้ โดยเมื่อทำรูปฌานให้เกิดขึ้นแล้ว กำหนดนิมิตคือลมหายใจ โดยประจักษ์แล้ว ทำการเพิกถอนลมหายใจออกไปเสียจากนิมิตเหลือความว่างอยู่แทน และความว่างนั้น ตั้งอยู่ในฐานะเป็นอารมณ์อรูปฌาณขั้นที่หนึ่งในที่นี้ แม้ทำอย่างนี้ ก็กล่าวได้ว่าอากาสานัญจายตนะนั้น สืบเนื่องมาจากอานาปานสตินี้โดยตรง. ถ้าจำเป็นจะต้องสงเคราะห์อรูปฌาณเข้าในอานาปานสติอันมีวัตถุ ๑๖ แล้ว พึงสงเคราะห์เข้าในอานาปานสติขั้นที่ ๔ คือการทำกายสังขารให้รำงับ. เท่าที่กล่าวมาแล้วข้างต้น (ในหนังสืออานาปานสติชุดธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส) ไม่มีการกล่าวถึงอรูปสมาบัติ ก็เพราะไม่เป็นที่มุ่งหมายโดยตรงของการทำอานาปานสติที่เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะโดยเฉพาะ).

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เราพึงก้าว ล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว พึงเข้าถึง วิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า วิญญาณไม่มีที่สุด ดังนี้แล้วแลอยู่เถิด” ดังนี้ แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า ต้องมีการทำอากาสานัญจายตนะ ดังที่กล่าวแล้ว ในข้อบนให้เกิดขึ้นอย่างมั่นคงเสียก่อน แล้วจึงเพิกถอนการกำหนดอากาศมากำหนดวิญญาณแทน หมายถึง วิญญาณธาตุที่ไม่มีรูปร่างซึ่งจัดเป็นนามธาตุที่ไม่มีรูปร่างซึ่งจัดเป็นนามธาตุหรือนามธรรม; เนื่องจากทำสืบต่อมาจากอานาปานสติ จึงกล่าวว่าสำเร็จมาจากอานาปานสติ จึงกล่าวว่าสำเร็จมาจากอานาปานสติ.)

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เราพึงก้าว ล่วงวิญญาณัญจายตนะเสียโดยประการทั้งปวง เข้าถึง อากิญจัญญายตนะ อันมีการทำในใจว่าไม่มีอะไร แล้วแลอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินี่ แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า เมื่อทำวิญญาณัญจายตนะให้เกิดขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว เพิกถอนการกำหนดอารมณ์ว่าวิญญาณไม่มีที่สุดเสีย มากำหนดความไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์. เนื่องจากมีอานาปานสติเป็นมูล จึงกล่าวว่าสำเร็จมาจากอานาปานสติ).

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เราพึงก้าว ล่วงอากิญจัญญายตนะเสียโดยประการทั้งปวง เข้าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะแล้วแลอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า ได้มีการทำอากิญจัญญายตนะให้เกิดขึ้นแล้วอย่างมั่นคง แล้วเพิกถอนการกำหนดความไม่มีอะไรเป็นอารมณ์นั้นเสีย หน่วงเอาความรำงับที่ประณีตยิ่งขึ้นไปคือความไม่ทำความรู้สึกอะไรเลย แต่ก็ไม่ใช่สลบหรือตาย จึงเรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะซึ่งหมายความว่า จะว่ามีสัญญาอยู่ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีสัญญาเลยก็ไม่ใช่. เพราะมีอานาปานสติเป็นมูลในขั้นต้นด้วยกันทั้ง ๔ ขั้น จึงเรียกว่าสำเร็จมาแต่อานาปานสติ อีกอย่างหนึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าในขณะแห่งรูปฌานแม้ไม่มีการหายใจอยู่โดยตรง ก็ต้องถือว่า มีการหายใจอยู่โดยอ้อมคือ ไม่รู้สึก

ฉะนั้นเป็นอันกล่าวสืบไปว่า เพราะมีความชำนาญ หรือความเคยชินในการกำหนดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ทุกลมหายใจเข้า - ออกมาแล้วแต่ในขั้นก่อน ในขั้นนี้ ย่อมมีการกำหนดอารมณ์แห่งอรูปสมาบัติและความสงบอันเกิดจากอรูปสมาบัติ ตลอดถึงการพิจารณาหรือปัจจเวกขณ์ในอาการทั้งหลายแห่งอรูปสมาบัติ อยู่ทุกลมหายใจเข้า - ออก ทั้งโดยมีความรู้สึกตัวและไม่มีความรู้สึกตัว คือทั้งโดยตรงและโดยอ้อมอีกนั่นเอง).

ฎ. เป็นเหตุให้ได้สัญญาเวทยิตนิโรธ

ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “เราพึงก้าวล่วงซึ่งเนวสัญญาสัญญายตนะเสียได้โดยประการทั้งปวง เข้าถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่เถิด” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติสมาธินั่นแหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี.

(ข้อนี้หมายความว่า มีการทำเนวสัญญานาสัญญายตนะให้เกิดขึ้นได้อย่างมั่นคง แล้วละความรู้สึกที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้นเสีย น้อมจิตไปสู่ความรำงับ ที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกคือการดับสัญญาและเวทนาเสีย ด้วยการทำไม่ให้เจตสิกชื่อสัญญาและเจตสิกชื่อเวทนาได้ทำหน้าที่ของตนตามปรกติแต่ประการใดเลย. ความรู้สึกที่เป็นสัญญาและเวทนาตามปรกติธรรมดาจึงไม่ปรากฏ. เรียกว่าเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ คือความดับไปแห่งสัญญาและเวทนา ตลอดเวลาเหล่านั้น ซึ่งเรียกกันสั้นๆว่าเข้าสู่นิโรธสมาบัติ หรือเรียกสั้นจนถึงกับว่าเข้านิโรธเฉยๆ. การกระทำอันนี้ตั้งต้นขึ้นด้วยอา นาปานสติสมาธิ ดังนั้นจึงกล่าวว่าสำเร็จมาจากอานาปานสติ.)

ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงว่า อานาปานสติภาวนานั้น นอกจากจะใช้เป็นเครื่องมือสำหรับปฏิบัติเพื่อทำอาสวะให้สิ้นโดยตรงแล้ว ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อการปฏิบัติที่ดำเนินไปในทางฝ่ายจิต หรือฝ่ายสมถะโดยส่วนเดียว จนกระทั่งถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ ได้ด้วยอาการอย่างนี้ และพร้อมกันนั้นซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวว่าเป็นไปในทางไหน แต่เป็นประโยชน์ทั่วไปสำหรับการปฏิบัติทุกแนวก็คือ การอยู่ด้วยอานาปานสตินั้นไม่ลำบากกาย และไม่ลำบากตา

ซึ่งนับว่าเป็นการพักผ่อนอยู่ในตัวเองป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว นับว่าเป็นอานิสงส์พิเศษส่วนหนึ่งของอานาปานสติ.

มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๐๐ - ๔๐๔/๑๓๒๗ - ๑๓๔๕.

ฏ. สามารถกำจัดบาปปอกุศลทุกทิศทาง

อานนท์ ! เปรียบเหมือนกองฝุ่นใหญ่มีอยู่ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ถ้าเกวียนหรือรถมาจากทิศตะวันออก ก็บดขยี้กองฝุ่นนั้น, ถ้าเกวียนหรือรถมาจากทางทิศตะวันตก ก็บดขยี้กองฝุ่นนั้น ถ้าเกวียนหรือรถมาจากทางทิศเหนือ ก็บดขยี้กองฝุ่นนั้น ถ้าเกวียนหรือรถมาจากทางทิศใต้ ก็บดขยี้กองฝุ่นนั้น นี้ฉันใด; อานนท์ ! เมื่อบุคคลมีปกติ ตามเห็นกายในกาย อยู่เป็นประจำ ย่อม กำจัดบาปอกุศลธรรมทั้งหลาย โดยแท้, เมื่อบุคคลมีปกติ ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ ย่อม กำจัดบาปอกุศลธรรมทั้งหลาย โดยแท้, เมื่อบุคคลมีปกติ ตามเห็นจิตในจิต อยู่เป็นประจำ ย่อม กำจัดบาปอกุศลธรรมทั้งหลาย โดยแท้, เมื่อบุคคลมีปกติ ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ ย่อมกำจัดบาปอกุศลธรรมทั้งหลาย โดยแท้, ฉันนั้นเหมือนกัน.

เสียงอ่าน
อาจิต โตเกียรติรุ่งเรือง:
1778-ฏ. สามารถกำจัดบาปอกุศลทุกทิศทาง.mp3

อ้างอิง
ไทย: - มหาวาร.สํ. 19/411/1362.
บาลี: - มหาวาร.สํ. ๑๙/๔๑๑/๑๓๖๒.

AI ช่วยอ่าน

กรุณาคัดลอกและวางพระสูตรในช่องนี้เพื่อฟังเสียง

×

สารบัญหนังสือ